โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เรียบเรียงโดย มณฑิชา วิไลกิจ
โรค ปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease : COPD) เป็นโรคระบบทางเดินหายใจที่พบบ่อยมากอย่างหนึ่ง ในประเทศไทยพบถึงร้อยละ2.7-10.1 และล่าสุดมีการสำรวจผู้สูงอายุในชุมชนย่านฝั่งธนบุรีพบผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้น เรื้อรังประมาณร้อยละ7.1 จัดเป็นโรคที่มีความสำคัญเป็นลำดับที่5และคาดว่าจะเป็นสาเหตุการตายที่พบ บ่อยเป็นลำดับที่3ต่อไปในภายหน้า (รุ่งนิรันดร์ ประดิษฐสุวรรณ, 2544:88) เนื่องจากประชากรไทยมีอายุยืนขึ้น สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมเป็นพิษมากขึ้น รวมถึงมีผู้สูบบุหรี่มากขึ้น บางคนสูบตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นระยะเวลาในการสูบจะมากขึ้นทำให้ปอดถูกทำลาย การยืดหยุ่นของปอดลดลง มีการอักเสบของทางเดินหายใจ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอมีอาการหายใจลำบาก หอบเหนื่อยง่าย ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ทำให้ขาดกำลังใจในการต่อสู้และดูแลรักษาโรคของตนเอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคได้หลายอย่าง
ดังนั้น หากทีมสุขภาพสามารถรณรงค์ให้ประชาชนทราบถึงสาเหตุของการเกิดโรคและส่งเสริม ให้ทุกคนเฝ้าระวังป้องกันสุขภาพของตนเองและบุคคลในครอบครัวได้ย่อมสามารถ หลีกเลี่ยงการเกิดโรคและมีประโยชน์ต่อสุขภาพเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมทั่วไป โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ผู้ป่วยจะมีอาการมากขึ้นเรื่อย ๆ จนส่งผลให้ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลบ่อยครั้ง ดังนั้นสิ่งที่ผู้ป่วยและผู้ที่ใกล้ชิดผู้ป่วยต้องยอมรับก็คือความจำเป็นที่ จะต้องต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น การพยายามผ่อนหนักให้เป็นเบาเมื่ออาการดีขึ้นต้องดูแลตนเองต่อที่บ้าน พยาบาลซึ่งใกล้ชิดผู้ป่วยจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแล และประคับประคองผู้ป่วยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อช่วยให้อยู่อย่างมีความสุขในขณะที่อยู่ในโรงพยาบาล รวมทั้งการให้คำแนะนำในการดูแลตนเองที่บ้านแก่ผู้ป่วยและญาติ เพื่อให้ผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
โรค ปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease : COPD) เป็นโรคระบบทางเดินหายใจที่พบบ่อยมากอย่างหนึ่ง ในประเทศไทยพบถึงร้อยละ2.7-10.1 และล่าสุดมีการสำรวจผู้สูงอายุในชุมชนย่านฝั่งธนบุรีพบผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้น เรื้อรังประมาณร้อยละ7.1 จัดเป็นโรคที่มีความสำคัญเป็นลำดับที่5และคาดว่าจะเป็นสาเหตุการตายที่พบ บ่อยเป็นลำดับที่3ต่อไปในภายหน้า (รุ่งนิรันดร์ ประดิษฐสุวรรณ, 2544:88) เนื่องจากประชากรไทยมีอายุยืนขึ้น สภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมเป็นพิษมากขึ้น รวมถึงมีผู้สูบบุหรี่มากขึ้น บางคนสูบตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นระยะเวลาในการสูบจะมากขึ้นทำให้ปอดถูกทำลาย การยืดหยุ่นของปอดลดลง มีการอักเสบของทางเดินหายใจ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอมีอาการหายใจลำบาก หอบเหนื่อยง่าย ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ทำให้ขาดกำลังใจในการต่อสู้และดูแลรักษาโรคของตนเอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคได้หลายอย่าง
ดังนั้น หากทีมสุขภาพสามารถรณรงค์ให้ประชาชนทราบถึงสาเหตุของการเกิดโรคและส่งเสริม ให้ทุกคนเฝ้าระวังป้องกันสุขภาพของตนเองและบุคคลในครอบครัวได้ย่อมสามารถ หลีกเลี่ยงการเกิดโรคและมีประโยชน์ต่อสุขภาพเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมทั่วไป โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาด ผู้ป่วยจะมีอาการมากขึ้นเรื่อย ๆ จนส่งผลให้ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลบ่อยครั้ง ดังนั้นสิ่งที่ผู้ป่วยและผู้ที่ใกล้ชิดผู้ป่วยต้องยอมรับก็คือความจำเป็นที่ จะต้องต่อสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น การพยายามผ่อนหนักให้เป็นเบาเมื่ออาการดีขึ้นต้องดูแลตนเองต่อที่บ้าน พยาบาลซึ่งใกล้ชิดผู้ป่วยจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแล และประคับประคองผู้ป่วยทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อช่วยให้อยู่อย่างมีความสุขในขณะที่อยู่ในโรงพยาบาล รวมทั้งการให้คำแนะนำในการดูแลตนเองที่บ้านแก่ผู้ป่วยและญาติ เพื่อให้ผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
โครงสร้างของระบบหายใจ
ระบบหายใจเป็นระบบที่สำคัญมากต่อร่างกายมนุษย์ ทำหน้าที่นำออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ร่างกายและนำคาร์บอนไดออกไซด์ออก จากร่างกาย ซึ่งออกซิเจนที่ได้จะนำไปใช้ในปฏิกิริยาทางเคมีของขบวนการต่าง ๆ ภายในร่างกาย
หน้าที่โดยทั่วไปของระบบหายใจ
ระบบหายใจมีหน้าที่ในการนำออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ร่างกาย ขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ภายนอกร่างกายและควบคุมระดับออกซิเจนและคาร์บอน ไดออกไซด์ในร่างกายให้เหมาะสม
อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
1. ส่วนที่ทำหน้าที่เป็นทางผ่านเข้า ออกของอากาศ (Conducting part) ทำหน้าที่ปรับแต่งอุณหภูมิ ความชื้นในอากาศที่หายใจเข้าไปให้เหมาะสม รวมทั้งกรองฝุ่นละออง ประกอบไปด้วยจมูก (nose) ซึ่งมีรูจมูกและโพรงจมูก หลอดคอ (pharynx) กล่องเสียง (larynx) หลอดลมคอ (trachea) หลอดลมใหญ่ (bronchus) หลอดลมฝอย (bronchioles) หลอดลมฝอยส่วนปลาย (terminal bronchioles) ดังแสดงในภาพที่ 1
ภาพที่ 1 อวัยวะส่วนที่เป็นทางผ่านเข้า ออกของอากาศ
ส่วนประกอบของอวัยวะที่ทำหน้าที่เป็นทางผ่านเข้า ออกของอากาศ ประกอบด้วยหลอดลมคอ มีความยาวประมาณ 9 -15 เซนติเมตร เริ่มต้นจากส่วนล่างของกระดูกอ่อนวงแหวน (cricoids) ตรงกับกระดูกสันหลังส่วนคอชิ้นที่ 6 ไปสิ้นสุดตรงตำแหน่งขอบบนของกระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 5 ซึ่งตรงตำแหน่งนี้หลอดลมจะแยกออกเป็นหลอดลมใหญ่ขวาและซ้าย (right and left main bronchus) เป็นส่วนที่อยู่นอกเนื้อปอด (extrapulmonale bronchus) ไม่มีผลกระทบโดยตรงจากการที่ทรวงอกหดหรือขยายตัว ส่วนที่อยู่ในเนื้อปอด (intrapulmonale bronchus) เป็นแขนงหลอดลมหรือหลอดลมกลีบ (lobar or secondary bronchus) เพื่อแตกแขนงออกไปอีก 8 – 13 ครั้ง จนมีขนาดเล็กประมาณ 1 มิลลิเมตร จากนั้นจะแยกแขนงออกไปอีกเป็นหลอดลมฝอย และแตกแขนงต่อไปจนมีหลอดลมขนาดเล็กที่สุด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5 มิลลิเมตร เรียกว่า หลอดลมฝอยส่วนปลาย ดังแผนภูมิที่ 1
แผนภูมิที่ 1 ส่วนประกอบของอวัยวะที่ทำหน้าที่เป็นทางผ่านเข้า ออกของอากาศ
ในส่วนที่ทำหน้าที่เป็นทางผ่านเข้า ออกของอากาศ มีเซลล์ที่สำคัญและมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
เซลล์ขนกวัด (ciliated columnar cells) เป็นเซลล์ทรงแท่งที่ยื่นจากผิวด้านในของผนังหลอดลม มีขนทำหน้าที่โบกพัดสิ่งต่าง ๆ บริเวณผิวเซลล์ ให้เคลื่อนไหวและขับออกย้อนกลับสู่ทางเดินอากาศหายใจส่วนต้น
เซลล์หลั่งมูก (globlet cells) เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างเหมือนแก้วเหล้าฐานแคบ ส่วนใกล้ผิวโป่งออกมีสารมูก (mucous granules) ที่เซลล์สร้างขึ้นอยู่ภายใน เป็นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างสารมูกภายในหลอดลม
2. ส่วนที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซ (respiratory part) จากหลอดลมฝอยส่วนปลายแตกแขนงต่อไปโดยจะเริ่มเป็นส่วนที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยน ก๊าซ (acinus or alveolar air space) คือจะแยกให้แขนงหลอดลมฝอยส่วนหายใจ (respiratory bronchioles) จากนั้นแยกตัวเป็นท่อถุงลม (alveolar ducts) หลายท่อซึ่งมีประมาณ 100 ท่อ ต่อหนึ่งหลอดลมฝอย แต่ละท่อถุงลมจะโป่งออกเป็นกระเปาะถุงลม (alveolar sacs) ผนังของท่อถุงลมและกระเปาะถุงลมจะประกอบด้วยถุงลม (alveoli) จำนวนมากมาย ดังแผนภูมิที่ 2
แผนภูมิที่ 2 ส่วนประกอบของอวัยวะที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซ
ในส่วนที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซจะมีเซลล์สำคัญและมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
เซลล์บุถุงลมแมกโครเฟจ (alveolar macrophage) เป็นเซลล์ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น จุลินทรีย์ ที่เข้ามาในถุงลมจะพบได้ในผนังหรือบางส่วนที่เคลื่อนออกมาอยู่ในถุงลมและ ย่อยสลายโดยใช้เอนไซม์ในไลโซโซมของเซลล์แมกโครเฟจ
เซลล์บุถุงลมชนิดที่ 2 (typeⅡ alveolar epithelial cell) เป็นเซลล์ทำหน้าที่ขับสารตึงผิว (surfactant) เข้าสู่ถุงลมมีคุณสมบัติลดแรงตึงผิว และช่วยทำให้ขนาดของถุงลมคงที่ และยังทำให้ถุงลมแห้งอยู่เสมอเป็นการป้องกันไม่ให้สารน้ำเข้าไปในถุงลม
ระบบการไหลเวียนเลือด
หลอดเลือดในปอดเริ่มต้นจากหลอดเลือดแดงพัลโมนารี(pulmonary artery) ออกจากหัวใจห้องล่างขวา (right ventricle) ซึ่งแยกแขนงตามหลอดลมเกือบทุกขั้นตอนโดยแบ่งตัวตามหลอดลมไปเรื่อยๆเป็นแผ่น บางๆการแลกเปลี่ยนก๊าซจะเกิดโดยการแพร่ที่ระดับนี้เป็นส่วนใหญ่มีบางส่วน เช่น ที่หลอดลมฝอยส่วนหายใจหรือท่อถุงลมซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนก๊าซอยู่บ้าง จากนั้นเลือดที่แลกเปลี่ยนก๊าซแล้วจะไหลกลับไปสู่หัวใจห้องซ้ายบน (left atrium) ทางหลอดเลือดดำ พัลโมนารี (pulmonary vein) นอกจากนี้ผนังของหลอดลมขนาดใหญ่ยังได้รับเลือดเลี้ยงเพิ่มเติมจากแขนงของ หลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta)
ระบบประสาท
เส้นประสาทก็เช่นเดียวกัน คือ จะแยกแขนงขนานกับท่อหลอดลมและเส้นเลือด โดยส่งสาขาประสาทออกควบคุมกล้ามเนื้อเรียบที่อยู่ตามผนังหลอดลมและเส้นเลือด เส้นประสาทที่สำคัญในระบบการหายใจคือประสาทสมองเส้นที่ 10 (vagus nerve) ซึ่งเริ่มจากฐานกะโหลกศีรษะผ่านคอ ทรวงอก ลงสู่ช่องท้อง นอกจากนี้ยังมีเส้นประสาทระบบซิมพาเทติก (sympathetic) เข้ามามีส่วนควบคุมการทำงานของปอดอีกด้วย
กล้ามเนื้อในระบบหายใจ
ระบบหายใจประกอบด้วยกล้ามเนื้อหายใจ 2 พวกคือ กล้ามเนื้อหายใจเข้า (inspiratory muscle) และกล้ามเนื้อหายใจออก (exspiratory muscle)
กล้ามเนื้อหายใจเข้าประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อ external intercostal ส่วนใหญ่ของอากาศที่หายใจเข้าเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมทำให้ กระบังลมลดต่ำลง และการหดตัวของกล้ามเนื้อ external intercostal ทำให้กระดูกซี่โครงทางด้านหน้าเคลื่อนขึ้นบนและออกไปทางด้านหน้า ทำให้ทรวงอกมีปริมาตรเพิ่มขึ้น และขณะหายใจออกกล้ามเนื้อกระบังลมจะยกสูงขึ้น
กล้ามเนื้อหายใจออก ได้แก่กล้ามเนื้อหน้าท้องเมื่อมีการหดตัวจะทำให้กระดูกซี่โครงบีบชิดกัน ลำตัวโค้งเข้าทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นจึงช่วยดันกล้ามเนื้อกระบังลม ขึ้นบน และกล้ามเนื้อ internal intercostal ขณะหดตัวทำให้กระดูกซี่โครงเคลื่อนต่ำและเข้าด้านใน
หน้าที่พิเศษของระบบหายใจ
ระบบหายใจ นอกจากจะทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ ยังมีหน้าที่สำคัญอื่น ๆ ดังนี้
1. ช่วยในการควบคุมดุลกรดด่างของร่างกายโดยการควบคุมการขับทิ้งคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกจากร่างกายหรือควบคุมอัตราและความลึกของการหายใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เหมาะสม
2. ช่วยในการเปล่งเสียง โดยการควบคุมกล้ามเนื้อช่วยการหายใจผ่านระบบประสาทส่วนกลางเพื่อทำให้เกิด การไหลของอากาศผ่านสายเสียงและปาก ซึ่งจะทำให้เกิดเสียงลักษณะต่าง ๆ ตามต้องการ
3. ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายจากสิ่งแปลกปลอมในอากาศที่หายใจ โดยเซลล์บุถุงลมแมกโครเฟจจะทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมและจะย่อยสลายโดยใช้ เอนไซม์ในไลโซโซมของเซลล์แมกโครเฟจ
4. ทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บสำรองเลือด เนื่องจากปอดสามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บสำรองเลือด (blood reservoir) สำหรับการสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจข้างซ้ายได้ในคราวจำเป็น
5. ช่วยทำหน้าที่เป็นแหล่งกรองเลือดของร่างกายที่เกิดจากสิ่งอุดตันต่าง ๆ เช่น ลิ่มเลือด ฟองอากาศ หรือเซลล์เล็ก ๆ อาจหลุดลอยเข้ามาในกระแสเลือดเมื่อไหลผ่านร่างแหหลอดเลือดฝอยของปอดเกิดการ อุดตันขึ้นทำให้ไม่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซเกิดขึ้นในถุงลมที่ไม่มีเลือดมา เลี้ยง จะพบว่าปอดสามารถใช้หลอดเลือดฝอยส่วนอื่นที่ไม่มีการอุดตันมาใช้งานเพิ่ม เติมได้ในคราวจำเป็น และสิ่งอุดตันจะถูกกำจัดโดยเซลล์บุถุงลมแมกโครเฟจ
คำจำกัดความ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease : COPD) เป็นกลุ่มโรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของทางเดินหายใจอย่างช้า ๆ จนกระทั่งมีการตีบแคบลงอย่างเรื้อรัง ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติ โดยที่ผู้ป่วยจะมีอาการไอ หายใจลำบาก และมีเสมหะมากร่วมด้วย ซึ่งโรคนี้จะมีอาการและอาการแสดงคล้ายกับโรคทางระบบทางเดินหายใจหลายโรค เช่นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมโป่งพองและหอบหืด เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของโรคมากขึ้นจึงมีผู้ให้คำจำกัดความ ของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังว่าเป็นโรคเรื้อรังที่หลอดลมมีการอุดกั้นเพิ่มมาก ขึ้นอย่างช้าๆ จากผลการเกิดถุงลมปอดโป่งพองและทางเดินหายใจเล็ก ๆ ในปอดมีขนาดเล็กลงอย่างถาวร (ปราณี ทู้ไพเราะ, 2543 : 101)
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นกลุ่มโรคที่แยกได้เป็น 2 กลุ่มคือโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและโรคถุงลมโป่งพองซึ่งทั้งสองโรคนี้มี ลักษณะทางคลินิกบางอย่างคล้ายคลึงกันหรืออาจพบร่วมกัน ทำให้ยากในการวินิจฉัยแยกโรคจึงมักเรียกรวมกันว่า COPD
1. โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (chronic bronchitis) เป็นโรคที่มีการวินิจฉัยจากอาการทางคลินิก จะมีการไอเรื้อรัง มีเสมหะแทบทุกวัน เป็น ๆ หาย ๆ ติดต่อกันอย่างน้อยปีละ 3 เดือนเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี โดยไม่มีโรคอื่น ๆ ที่อาจทำให้มีอาการแบบนี้ เช่น วัณโรคปอด ฝีในปอด มะเร็งปอด
2. โรคถุงลมโป่งพอง (emphysema) เป็นโรคที่มีการวินิจฉัยทางพยาธิวิทยาเป็นโรคของถุงลมมีการขยายตัว พองโตผิดปกติ และมีการทำลายของผนังถุงลมร่วมด้วย ทำให้เนื้อที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซในปอดลดลงเกิดการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ และออกซิเจนในเลือดลดต่ำลง
โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและโรคถุงลมโป่งพองที่มีการวินิจฉัยแยกกันได้แน่นอน ไม่จัดอยู่ในโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคปอดจากสาเหตุอื่นที่ทำให้หลอดลมตีบ เช่นโรคหลอดลมโป่งพอง โรคซิสทิคไฟโบรซิส (Cystic fibrosis) ดังในภาพที่ 2
เซลล์บุถุงลมแมกโครเฟจ (alveolar macrophage) เป็นเซลล์ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น จุลินทรีย์ ที่เข้ามาในถุงลมจะพบได้ในผนังหรือบางส่วนที่เคลื่อนออกมาอยู่ในถุงลมและ ย่อยสลายโดยใช้เอนไซม์ในไลโซโซมของเซลล์แมกโครเฟจ
เซลล์บุถุงลมชนิดที่ 2 (typeⅡ alveolar epithelial cell) เป็นเซลล์ทำหน้าที่ขับสารตึงผิว (surfactant) เข้าสู่ถุงลมมีคุณสมบัติลดแรงตึงผิว และช่วยทำให้ขนาดของถุงลมคงที่ และยังทำให้ถุงลมแห้งอยู่เสมอเป็นการป้องกันไม่ให้สารน้ำเข้าไปในถุงลม
ระบบการไหลเวียนเลือด
หลอดเลือดในปอดเริ่มต้นจากหลอดเลือดแดงพัลโมนารี(pulmonary artery) ออกจากหัวใจห้องล่างขวา (right ventricle) ซึ่งแยกแขนงตามหลอดลมเกือบทุกขั้นตอนโดยแบ่งตัวตามหลอดลมไปเรื่อยๆเป็นแผ่น บางๆการแลกเปลี่ยนก๊าซจะเกิดโดยการแพร่ที่ระดับนี้เป็นส่วนใหญ่มีบางส่วน เช่น ที่หลอดลมฝอยส่วนหายใจหรือท่อถุงลมซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนก๊าซอยู่บ้าง จากนั้นเลือดที่แลกเปลี่ยนก๊าซแล้วจะไหลกลับไปสู่หัวใจห้องซ้ายบน (left atrium) ทางหลอดเลือดดำ พัลโมนารี (pulmonary vein) นอกจากนี้ผนังของหลอดลมขนาดใหญ่ยังได้รับเลือดเลี้ยงเพิ่มเติมจากแขนงของ หลอดเลือดแดงใหญ่ (aorta)
ระบบประสาท
เส้นประสาทก็เช่นเดียวกัน คือ จะแยกแขนงขนานกับท่อหลอดลมและเส้นเลือด โดยส่งสาขาประสาทออกควบคุมกล้ามเนื้อเรียบที่อยู่ตามผนังหลอดลมและเส้นเลือด เส้นประสาทที่สำคัญในระบบการหายใจคือประสาทสมองเส้นที่ 10 (vagus nerve) ซึ่งเริ่มจากฐานกะโหลกศีรษะผ่านคอ ทรวงอก ลงสู่ช่องท้อง นอกจากนี้ยังมีเส้นประสาทระบบซิมพาเทติก (sympathetic) เข้ามามีส่วนควบคุมการทำงานของปอดอีกด้วย
กล้ามเนื้อในระบบหายใจ
ระบบหายใจประกอบด้วยกล้ามเนื้อหายใจ 2 พวกคือ กล้ามเนื้อหายใจเข้า (inspiratory muscle) และกล้ามเนื้อหายใจออก (exspiratory muscle)
กล้ามเนื้อหายใจเข้าประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อ external intercostal ส่วนใหญ่ของอากาศที่หายใจเข้าเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกระบังลมทำให้ กระบังลมลดต่ำลง และการหดตัวของกล้ามเนื้อ external intercostal ทำให้กระดูกซี่โครงทางด้านหน้าเคลื่อนขึ้นบนและออกไปทางด้านหน้า ทำให้ทรวงอกมีปริมาตรเพิ่มขึ้น และขณะหายใจออกกล้ามเนื้อกระบังลมจะยกสูงขึ้น
กล้ามเนื้อหายใจออก ได้แก่กล้ามเนื้อหน้าท้องเมื่อมีการหดตัวจะทำให้กระดูกซี่โครงบีบชิดกัน ลำตัวโค้งเข้าทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นจึงช่วยดันกล้ามเนื้อกระบังลม ขึ้นบน และกล้ามเนื้อ internal intercostal ขณะหดตัวทำให้กระดูกซี่โครงเคลื่อนต่ำและเข้าด้านใน
หน้าที่พิเศษของระบบหายใจ
ระบบหายใจ นอกจากจะทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ ยังมีหน้าที่สำคัญอื่น ๆ ดังนี้
1. ช่วยในการควบคุมดุลกรดด่างของร่างกายโดยการควบคุมการขับทิ้งคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกจากร่างกายหรือควบคุมอัตราและความลึกของการหายใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เหมาะสม
2. ช่วยในการเปล่งเสียง โดยการควบคุมกล้ามเนื้อช่วยการหายใจผ่านระบบประสาทส่วนกลางเพื่อทำให้เกิด การไหลของอากาศผ่านสายเสียงและปาก ซึ่งจะทำให้เกิดเสียงลักษณะต่าง ๆ ตามต้องการ
3. ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายจากสิ่งแปลกปลอมในอากาศที่หายใจ โดยเซลล์บุถุงลมแมกโครเฟจจะทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมและจะย่อยสลายโดยใช้ เอนไซม์ในไลโซโซมของเซลล์แมกโครเฟจ
4. ทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บสำรองเลือด เนื่องจากปอดสามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งเก็บสำรองเลือด (blood reservoir) สำหรับการสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจข้างซ้ายได้ในคราวจำเป็น
5. ช่วยทำหน้าที่เป็นแหล่งกรองเลือดของร่างกายที่เกิดจากสิ่งอุดตันต่าง ๆ เช่น ลิ่มเลือด ฟองอากาศ หรือเซลล์เล็ก ๆ อาจหลุดลอยเข้ามาในกระแสเลือดเมื่อไหลผ่านร่างแหหลอดเลือดฝอยของปอดเกิดการ อุดตันขึ้นทำให้ไม่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซเกิดขึ้นในถุงลมที่ไม่มีเลือดมา เลี้ยง จะพบว่าปอดสามารถใช้หลอดเลือดฝอยส่วนอื่นที่ไม่มีการอุดตันมาใช้งานเพิ่ม เติมได้ในคราวจำเป็น และสิ่งอุดตันจะถูกกำจัดโดยเซลล์บุถุงลมแมกโครเฟจ
คำจำกัดความ
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic obstructive pulmonary disease : COPD) เป็นกลุ่มโรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของทางเดินหายใจอย่างช้า ๆ จนกระทั่งมีการตีบแคบลงอย่างเรื้อรัง ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพปกติ โดยที่ผู้ป่วยจะมีอาการไอ หายใจลำบาก และมีเสมหะมากร่วมด้วย ซึ่งโรคนี้จะมีอาการและอาการแสดงคล้ายกับโรคทางระบบทางเดินหายใจหลายโรค เช่นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมโป่งพองและหอบหืด เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของโรคมากขึ้นจึงมีผู้ให้คำจำกัดความ ของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังว่าเป็นโรคเรื้อรังที่หลอดลมมีการอุดกั้นเพิ่มมาก ขึ้นอย่างช้าๆ จากผลการเกิดถุงลมปอดโป่งพองและทางเดินหายใจเล็ก ๆ ในปอดมีขนาดเล็กลงอย่างถาวร (ปราณี ทู้ไพเราะ, 2543 : 101)
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นกลุ่มโรคที่แยกได้เป็น 2 กลุ่มคือโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและโรคถุงลมโป่งพองซึ่งทั้งสองโรคนี้มี ลักษณะทางคลินิกบางอย่างคล้ายคลึงกันหรืออาจพบร่วมกัน ทำให้ยากในการวินิจฉัยแยกโรคจึงมักเรียกรวมกันว่า COPD
1. โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (chronic bronchitis) เป็นโรคที่มีการวินิจฉัยจากอาการทางคลินิก จะมีการไอเรื้อรัง มีเสมหะแทบทุกวัน เป็น ๆ หาย ๆ ติดต่อกันอย่างน้อยปีละ 3 เดือนเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 2 ปี โดยไม่มีโรคอื่น ๆ ที่อาจทำให้มีอาการแบบนี้ เช่น วัณโรคปอด ฝีในปอด มะเร็งปอด
2. โรคถุงลมโป่งพอง (emphysema) เป็นโรคที่มีการวินิจฉัยทางพยาธิวิทยาเป็นโรคของถุงลมมีการขยายตัว พองโตผิดปกติ และมีการทำลายของผนังถุงลมร่วมด้วย ทำให้เนื้อที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซในปอดลดลงเกิดการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ และออกซิเจนในเลือดลดต่ำลง
โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังและโรคถุงลมโป่งพองที่มีการวินิจฉัยแยกกันได้แน่นอน ไม่จัดอยู่ในโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคปอดจากสาเหตุอื่นที่ทำให้หลอดลมตีบ เช่นโรคหลอดลมโป่งพอง โรคซิสทิคไฟโบรซิส (Cystic fibrosis) ดังในภาพที่ 2
พื้นที่บริเวณ 1, 2 และ 11 หมายถึง ผู้ป่วยที่เริ่มเป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และ/หรือโรคถุงลมปอดโป่งพองโดยยังไม่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจ (Air flow obstruction)
พื้นที่บริเวณ 9 หมายถึง ผู้ป่วยโรคหอบหืด ที่มีทางเดินหายใจตีบแคบซึ่งสามารถแก้ไขคืนสู่สภาพปกติได้และไม่จัดอยู่ใน กลุ่ม COPD
พื้นที่บริเวณ 6 หมายถึง ผู้ป่วยซึ่งเป็นโรคหอบหืด ซึ่งทางเดินหายใจถูกกระตุ้นด้วยสาร บางอย่าง เช่น บุหรี่ตลอดเวลา ทำให้หลอดลมตีบและไม่สามารถรักษาให้กลับสู่สภาพปกติได้เกือบหมด มีลักษณะและอาการเหมือนโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
พื้นที่บริเวณ 7 และ 8 หมายถึง ผู้ป่วยโรคหอบหืด ซึ่งมีทางเดินหายใจตีบแคบ และไม่สามารถรักษาให้หายได้ทั้งหมดซึ่งแยกได้ยากจากผู้ป่วยในกลุ่มโรคถุงลม ปอดโป่งพองหรือโรคถุงลมปอดโป่งพองร่วมกับโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
พื้นที่บริเวณ 3 และ 4 หมายถึง ผู้ป่วยในกลุ่มโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และผู้ป่วยในกลุ่มโรคถุงลมปอดโป่งพอง ซึ่งแยกโรคทั้งสองออกจากกกันชัดเจน โดยทั้งสองกลุ่มนี้มีการอุดกั้นทางเดินหายใจที่ไม่อาจกลับคืนสู่สภาพปกติได้ (irreversible air flow obstruction)
พื้นที่บริเวณ 5 หมายถึง ผู้ป่วยในกลุ่มโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และผู้ป่วยในกลุ่มโรค ถุงลมปอดโป่งพอง ซึ่งมีลักษณะทางคลินิกและพยาธิวิทยาของทั้งสองโรคแยกกันไม่ได้ชัดเจน
พื้นที่บริเวณ 10 หมายถึง ผู้ป่วยในกลุ่มที่มีการอุดกั้นในทางเดินหายใจอื่น ๆ ซึ่งไม่จำกัดอยู่ในกลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เช่น โรคหลอดลมโป่งพอง
พื้นที่แรเงาทั้งหมด หมายถึง ผู้ป่วยที่จัดอยู่ในกลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ซึ่งมีการอุดกั้นทางเดินหายใจและไม่สามารถรักษาให้กลับสู่สภาพปกติได้
พื้นที่บริเวณ 9 หมายถึง ผู้ป่วยโรคหอบหืด ที่มีทางเดินหายใจตีบแคบซึ่งสามารถแก้ไขคืนสู่สภาพปกติได้และไม่จัดอยู่ใน กลุ่ม COPD
พื้นที่บริเวณ 6 หมายถึง ผู้ป่วยซึ่งเป็นโรคหอบหืด ซึ่งทางเดินหายใจถูกกระตุ้นด้วยสาร บางอย่าง เช่น บุหรี่ตลอดเวลา ทำให้หลอดลมตีบและไม่สามารถรักษาให้กลับสู่สภาพปกติได้เกือบหมด มีลักษณะและอาการเหมือนโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
พื้นที่บริเวณ 7 และ 8 หมายถึง ผู้ป่วยโรคหอบหืด ซึ่งมีทางเดินหายใจตีบแคบ และไม่สามารถรักษาให้หายได้ทั้งหมดซึ่งแยกได้ยากจากผู้ป่วยในกลุ่มโรคถุงลม ปอดโป่งพองหรือโรคถุงลมปอดโป่งพองร่วมกับโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
พื้นที่บริเวณ 3 และ 4 หมายถึง ผู้ป่วยในกลุ่มโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และผู้ป่วยในกลุ่มโรคถุงลมปอดโป่งพอง ซึ่งแยกโรคทั้งสองออกจากกกันชัดเจน โดยทั้งสองกลุ่มนี้มีการอุดกั้นทางเดินหายใจที่ไม่อาจกลับคืนสู่สภาพปกติได้ (irreversible air flow obstruction)
พื้นที่บริเวณ 5 หมายถึง ผู้ป่วยในกลุ่มโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และผู้ป่วยในกลุ่มโรค ถุงลมปอดโป่งพอง ซึ่งมีลักษณะทางคลินิกและพยาธิวิทยาของทั้งสองโรคแยกกันไม่ได้ชัดเจน
พื้นที่บริเวณ 10 หมายถึง ผู้ป่วยในกลุ่มที่มีการอุดกั้นในทางเดินหายใจอื่น ๆ ซึ่งไม่จำกัดอยู่ในกลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เช่น โรคหลอดลมโป่งพอง
พื้นที่แรเงาทั้งหมด หมายถึง ผู้ป่วยที่จัดอยู่ในกลุ่มโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ซึ่งมีการอุดกั้นทางเดินหายใจและไม่สามารถรักษาให้กลับสู่สภาพปกติได้
