ชีวิตหลังความตาย เรื่องจริงสำหรับผู้ที่ตายไปแล้ว

(ch01) 2009316_67029.jpg
ชีวิตหลังความตายของคน-สัตว์ ผม จะพูดเรื่องของคนก่อน สำหรับการตายของคนผมต้องแบ่งออกเป็น ๓ กรณี กรณีแรก คือการตายตามอายุขัย กรณีที่สองคือ การตายก่อนอายุขัย(กรรมอุปฆาตมาตัดรอนชีวิตให้สั้นก่อนกำหนด) กรณีที่สาม คือตายแล้วฟื้น
ตาย ตามอายุขัย เรื่องราวต่อไปนี้เป็นความจริงทั้งหมด ที่จำเป็นต้องเขียนก็เพราะพวกท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ มีความจำเป็นต้องรู้ เพราะจะสามารถช่วยญาติผู้เสียชีวิตไปแล้วได้ด้วยความดีของพวกท่านเอง โดยไม่ ต้องอาศัยบุญที่เกิดจากการให้ทาน และทุกวันนี้ชีวิตของผมส่วนมากจำเป็น ต้องยุ่งเกี่ยวกับชาวโลกทิพย์ ที่พวกท่านเรียกพวกเขาว่า ผี หรือจิตวิญญาณ แต่สำหรับผมเรียกพวกเขาว่า ชาวโลกทิพย์ และจำแนกออกเป็นหลายๆ กลุ่ม ดังนี้
พวกผีสัมภเวสี ผีเปรต ผีปอบ ผีอสุรกาย ผีสัตว์เดรัจฉาน ภูต ผี ปีศาจ ลูกแท้ง กุมารทอง พรายน้ำ เงือก ยักข์ กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ นาค ครุฑ พญานาค และประเภทผีที่สูงกว่านี้ก็คือ เทพบุตรและเทพธิดา เรียกรวมๆ ว่า เทวดา และผีที่สูงกว่าเทวดาก็คือ พรหม และสูงกว่าละเอียดดีกว่าพรหมก็คือ กายทิพย์บริสุทธิ์บนโลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดร ให้ทุกท่านตั้งใจอ่านนะ ครับ เพราะทั้งหมดนี้เป็นประโยชน์ต่อท่านมาก เมื่อต้องตายไปแล้ว คือการเรียนรู้ก่อนที่จะสายเกินไป การเตรียมตัวไว้ก่อนตาย เพราะผมพูดคุยกับผีอยู่ทุกวัน ทุกประเภทที่กล่าวมาทั้งหมด ผีส่วนมากมาขอให้ผมช่วยให้พ้นทุกข์ทุกวันในทุก สถานที่ที่ผมไป ผมช่วยพวกเขาได้ งานที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้คือ งานช่วยผี ช่วยคน ถึงแม้จะเป็นงานที่น่าเบื่อก็ตาม แต่ก็ต้องทำต้องช่วย เพราะถือว่า เป็นหน้าที่ของผม ตามที่ได้รับมอบหมายจากพระบรมบิดา ทำไมผมถึงบอกว่าเป็นงานที่น่าเบื่อ ก็เพราะว่าผมพูดอยู่นี้หลายๆ คนไม่ยอมฟังไม่ยอมอ่าน ไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยสันดานตนเอง ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมทำตามเพราะติดประเพณีนิยม แต่พอตายไปแล้ว ญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ทำบุญให้ แต่ทำบุญตามประเพณีนิยมเหมือนกัน ซึ่งมันมีทั้งบุญทั้งบาป จึงช่วยญาติหรือผีที่ตายไปแล้วไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องมาขอให้ผมช่วยเหลือมาก มายในแต่ละวัน ตอนเป็นคนไม่ยอมฟังไม่ยอมเชื่อ ไม่ยอมพิสูจน์ ไม่ยอมแก้ไขนิสัยสันดาน พอตายไปก็ช่วยตัวเองให้พ้นทุคติ พ้นจากความทุกข์ในอบายไม่ได้ มันน่าอนาถใจจริงๆ พวกที่ไม่มีความสนใจและไม่เชื่อ พอตายไปผมก็ต้องช่วยเพราะอดสงสารไม่ได้ นี่แหละงานของผมจึงเรียกว่าน่าเบื่อมาก เอาละผมจะเขียนและก็จะพูดต่อไปเรื่อยๆ เผื่อว่าพวกท่านจะนำไปแก้ไขพฤติกรรมตนเองได้บ้างในวันใดวันหนึ่ง
ผู้ ที่ตายตามอายุขัย หรือก่อนอายุขัย ก็แยกเป็นคน และสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งผมจะพูดเฉพาะคนก่อน และจะไม่พูดถึงสัตว์เดรัจฉานเพราะก็คล้ายกันกับคน
คน แปลว่า ยุ่ง หรือวุ่นวาย จิตยังไม่เชื่อหมั่นในบุญในบาปมากนัก แต่สำหรับผมแล้วใครจะทำบุญ หรือทำบาปมากก็ตาม แต่ขอให้มั่นคิดถึงสิ่งที่ดี ที่เป็นความดี เช่นการให้ทาน การนึกถึงผู้ที่มีความดีมากๆ ไว้บ่อยๆ ในแต่ละวันแค่นี้ก็พอ คนที่ไม่ได้เรียนรู้ในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องจริง ๆ สักแต่ว่าทำตามประเพณี แต่ไม่มีความเข้าใจว่า อันไหนเป็นบุญแท้หรือบุญเทียม จิตใจว้าวุ่นวุ่นวาย ขาดที่พึ่งขาดที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ อย่างเช่นชาวพุทธในปัจจุบันนี้ ต่างก็ขาดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอย่างมั่นคง
คน คือ ผู้ที่มีจิตไม่มั่นคงในความดี เมื่อถูกบาปบุญคุณโทษครอบงำ จิตใจก็ไม่มั่นคงอยู่ในความดี บางครั้งดี บางครั้งก็ไม่ดี พูดง่ายๆ ก็คือ จิตใจหวั่นไหวเกาะทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีอยู่ตลอดเวลา จิตใจของคนที่ใกล้จะตาย และผู้ที่จะตายก็ไม่มีนิมิตหมายล่วงหน้าว่า จะตายตอนไหน ตายเช้า ตายสายบ่ายเย็นก็ไม่ทราบได้ เมื่อลมหายใจหยุด หายใจเข้าแต่ไม่ออกก็ตาย หายใจออกแต่ไม่เข้าก็ตาย จิตสุดท้ายก่อนที่จะตาย ก่อนที่จิตจะออกจากร่างกาย จิตยึดเกาะสิ่งใด(นึกถึงหรือว่า เห็นภาพสิ่งใดก่อน จิตก็ไปตามนั้น) เช่น คนที่จะตาย นึกถึง หรือว่าเห็นภาพไฟ ก็แสดงว่า คนนั้นได้ไปรับทุกข์เวทนาในอบายภูมิหรือนรกแน่นอน ส่วนคนใดนิมิตเห็นสัตว์ หรือเห็นภาพป่า ต้นไม้ใบหญ้า ผมรับรองเอาหัวเป็นประกันได้เลยว่าคนๆ นั้นจะได้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานชนิดใดชนิดหนึ่งแน่นอน ส่วนผู้ใดเห็นก้อนเนื้อ หรือเห็นสีแดงคล้ายเลือด ก็ให้รู้ได้เลยว่า คนนั้นตายปั๊บก็จะได้ไปเกิดเป็นอสุจิในถุงอัณฑะของคน และจะได้เกิดอยู่ในท้องของหญิงคนใดคนหนึ่งแน่นอน ส่วนบุคคลใดนิมิตเห็นพระ เยซู หรือเห็นพระพุทธรูป เห็นพระโพธิสัตว์ เห็นพระสงฆ์ เห็นเทวดา หรือพรหม หรือเห็นแสงสว่างสีขาว เห็นวิมาน โบสถ์ วิหาร ศาลา หรือเห็นอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับทาน บุญ กุศล ผมกล้าที่จะเอาชีวิตเป็นประกันว่า บุคคลนั้นได้ไปเป็นเทวดา หรือพรหมทันทีที่จิตออกจากร่างอย่างแน่นอน ส่วนผู้ใดก็ตามที่ได้เห็นพระบรม บิดา ตามรูปในหนังสือเล่มนี้ หรือเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เสด็จมารับพร้อมกับกายทิพย์ของพรหมและเทวดามารอรับ ผมกล้าเดิมพันด้วยชีวิต ด้วยจิตอันบริสุทธิ์ของผมว่า ท่านผู้นั้นตายแล้วได้ไปโลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดรทันที ขอจบชีวิตหลัง ความตายของบุคคลที่ผมเรียกว่า คน คนที่ตายตามอายุขัย
ชีวิตหลังความตาย ตอน ตายตามอายุขัย และตายก่อนอายุขัย สำหรับตอนนี้ ผมจะพูดถึงกลุ่มคนที่เป็นผู้มีจิตใจสูง หรือจิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น หรือชอบทำความดีมากกว่าความไม่ดี(๗๐/๓๐) และที่สำคัญที่สุดก็คือ คนกลุ่มนี้ส่วนมากจะเป็นผู้มีที่พึ่งทางจิตทางใจกันอย่างมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในประเทศไหน นับถือศาสนาไหนหรือว่าลัทธิไหนก็ตาม แต่จิตใจมั่นคงในการทำความดีมากกว่า คำว่าความชั่วหรือว่าไม่ค่อยดี ท่านอยากเป็นคนหรือว่าต้องการเป็นมนุษย์ มนุษย์ แปลว่า ผู้มีจิตดี จิตสูง เมื่อจิตยึดเกาะแต่สิ่งที่ดีๆ มากว่าความไม่ดี ความดีของจิตจึงมีกำลังมากกว่า อย่างนี้จิตจึงมีกำลังความดี(บุญ) รวมถึงชาวพุทธที่ชอบนึกหรือว่าเพ่งในสิ่งที่เป็นความดีที่สูงกว่าความดี พื้นๆ ที่เรียกว่า ชอบให้ทาน ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลบุคคลอื่น หรือชอบสร้างทานงานสาธารณะประโยชน์ เช่นสร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียน ให้ทุนการศึกษา และอื่นๆ อีกมากมาย ผลบุญเหล่านี้ยังไม่สูงเท่าความดีภายใน ที่เรียกใช้จิตทำความดี มากกว่าใช้กำลังกาย หรือกำลังทรัพย์ การใช้จิตทำความดีก็คือ การใช้จิตนึกถึงพระพุทธเจ้า หรือพุทโธ หรือนึกถึงพระอริยะเจ้า หรือนึกถึงข้อใดข้อหนึ่งของกรรมฐาน ๔๐ กอง เช่นนึกถึงลมหายใจเข้าและออก หรือการนึกถึงพุทโธ เป็นต้น แต่สำหรับท่านที่นับถือศาสนาอื่นๆ หรือลัทธิอื่นๆ ก็แล้วแต่ว่าท่านจะใช้วิธีไหนหรือ นึกถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อที่จะเป็นอุบายหรือวิธีการที่จะทำให้จิตใจของ ท่านสงบระงับจากความคิดฟุ้งซ่านไปในทางที่ไม่ดี เช่นการนึกถึง ชื่อของพระบรมบิดา หรือพระผู้เป็นเจ้า หรือการตามนึกถึงลมหายใจเข้าออก วิธีนี้ใช้ได้ในทุกดวงจิตทุกศาสนาเชื้อชาติ ใครทำอย่างนี้ประจำในทุกๆ วัน ทำอย่างต่อเนื่อง อย่างนี้บุคคลเหล่านี้จึงไม่ค่อยจะมีโอกาส สร้างความวุ่นวายให้เกิดแก่ตนเอง และผู้อื่นเหมือนกับพวกแรกที่ผมเรียกว่า คน
ชีวิตหลังความตาย
ตอน ตายไม่ปกติ หรือตายก่อนอายุขัย
(ch01) 2009316_66423.jpg
ตายก่อนอายุขัย ก็ คือ ตายเพราะอุบัติเหตุทุกชนิด ตายเพราะอุบัติภัย ภัยทางธรรมชาติทุกชนิดเช่น อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย รวมทั้งการฆ่าตัวตาย ถูกฆ่าตาย และตายตั้งอยู่ในท้อง(ลูกแท้ง) คนทุกคนที่มีอายุไม่ถึง ๗๐ ปี ไม่ว่าจะตายด้วยเหตุใดก็คือ ตายก่อนอายุขัย คนที่ไม่มีที่พึ่งทางจิตอย่างมั่นคง เมื่อจิตใจไม่แน่นอนในทางดี(กุศล) จิตใจขาดที่พึ่งไม่มั่นคง คิดในทางดีนั้นมีน้อย คิดในทางที่ไม่ดีนั้นมีมาก บางคนก็ไม่ได้คิดอะไรเลย(ไม่ได้คิดเรื่องบุญ เรื่องบาป) คนส่วนมากที่ตายด้วยอุบัติเหตุ มักจะไม่รู้ตัวล่วงหน้า หรือคนบางส่วนก็รู้ตัวล่วงหน้าได้บ้าง แต่เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ อย่างเช่น รู้ว่าเครื่องบินกำลังจะตก หรือว่ารู้ตัวว่าใกล้จะตาย เพราะกำลังได้รับบาดเจ็บ ด้วยเหตุที่กำลังได้รับภัยอันตราย หรือว่าอุบัติเหตุ คนที่ใกล้จะตายมักจะขาดสติ(ยกเว้นผู้ที่ได้ฝึกจิต ฝึกสติมาอย่างดี ตามแนวทางพระพุทธศาสนา) เมื่อคนใกล้ตายหรือรู้ว่ากำลังจะตาย จิตย่อมมีความกังวล กระวนกระวาย ฟุ้งซ่าน ผมเรียกคนที่มีจิตแบบนี้ว่า จิตเศร้าหมอง จิตไม่ผ่องใส คนพวกนี้ตายลงไป อาศัยจิตไม่มีที่พึ่ง(ที่พึ่งที่บริสุทธิ์ เช่นพระบิดา พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ รวมทั้งจิตที่สั่งสมความดีด้วยตนเอง ตามหลักพระพุทธศาสนาคือ แนวทางศีล สมาธิ ปัญญา) จิตคนที่ไม่มีที่พึ่ง อาศัยจิตที่หวาดกลัวก่อนตาย ขาดการตั้งสติก่อนตาย เมื่อจิตออกจากร่าง จิตก็จะไปเป็นผีสัมภเวสีทันที อาศัยที่ก่อนตายจิตไม่ได้นึกถึงบุญหรือ บาป จิตเป็นกลางๆ และเศร้าหมองเพียงเล็กน้อย เพราะอาศัยที่มีทุกข์เวทนาก่อนตาย คนเหล่านี้ตายก่อนอายุขัย จึงไปเป็นสัมภเวสีก่อน เพื่อรอเวลาที่จะถึงอายุขัย อย่างเช่น คนที่ตายบางคนมีอายุขัยอยู่ที่อายุ ๗๐ ปี แต่เกิดอุบัติเหตุก่อนต้องตายเมื่อมีอายุ ๓๐ ปี คนๆ นั้นจะต้องเป็นสัมภเวสีผีเร่ร่อนอยู่ในภพเดียวกันกับมนุษย์ ๔๐ ปี ไม่สามารถไปรับผลบุญผลบาปได้ จนกว่าจะครบวาระตามอายุขัย เมื่อครบวาระตาม อายุขัยแล้ว ถ้ามีบุญมากกว่าบาป ก็ไปรับผลบุญนั้นทันที เช่นไปเป็นเทวดา(เทพบุตรและนางฟ้า)ก่อน และถ้ามีบาป(ความชั่ว)มากกว่าความดี ก็จะได้ไปรับทุกข์เวทนาในทุคติอบายภูมิก่อน ถ้ามีบาปมากก็ลงสู่นรกภูมิ ได้รับทุกข์เวทนาอันแสนสาหัสอย่างยาวนาน ถ้าพวกสัมภเวสีรวมทั้งผู้ที่กำลัง ได้รับทุกข์อยู่ในนรกอบายภูมิอยู่ในขณะนี้ ถ้าพวกเขาเคยเป็นบิดา มารดา หรือเป็นญาติมิตรของท่าน ท่านจะทำอย่างไรต่อไป จะช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่ หรือรู้แล้วก็ไม่สน หรือท่านมีวิธีการช่วยเหลือตามแบบฉบับของท่าน ท่านจะสนใจหรือไม่ว่า ขณะนี้เวลานี้ญาติของพวกท่านที่ตายไปแล้ว พวกเขาอยู่ที่ไหน มีความสุขหรือมีความทุกข์ ถ้ามีสุข สุขมากหรือสุขน้อย ถ้ามีความทุกข์ ทุกข์มากหรือทุกข์น้อย เอาละผมจะบอกวิธีการช่วยเหลือพวกเขาต่อไป ตอนนี้มาเข้าเรื่องของชีวิตหลังความตายต่อไป
ตายชนิดพิเศษ
(ch01) 2009314_38406.jpg
ตายแล้วฟื้น การตายประเภทนี้จัดว่า เป็นการตายชนิดพิเศษ หลายๆ คนจะคงจะเคยได้ยินได้ฟังอยู่ไม่บ่อยนัก แต่ก็มีอยู่หลายต่อหลายคนที่ตายแล้วฟื้น ในขณะที่ตายไปก็ได้มีโอกาสไปเห็นเหตุการณ์ในภพภูมิหลังความตาย แต่ละคนแต่ละท่านก็อาจเห็นแตกต่างกันไป เมื่อมีโอกาสฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้เล่าประสบการณ์ให้ผู้คนรอบๆ ข้างได้ฟัง และบางท่านก็ได้เขียนเป็นหนังสือขึ้นมาให้ท่านได้อ่านกัน แต่สำหรับคนที่ไม่ มีโอกาสตายไปเพื่อพิสูจน์ดูว่า ที่เขาตายไปเจออย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องที่เขาเล่ามาทั้งหมดนั้น ความจริงมันเป็นอย่างไรกัน เราก็พิสูจน์กันไม่ได้ เพราะเราไม่เคยตายแล้วฟื้นอย่างเขา ส่วนมากท่านก็อาจจะเข้าใจว่า เรื่องราวที่เขาเล่ามานั้นเป็นความจริง และถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งหมด บางคนอ่านแล้วก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง
แต่ สำหรับผมแล้ว ไม่ต้องตายเพื่อไปพิสูจน์ดูก่อนแล้วฟื้นมาเขียนหนังสือเล่มนี้ ผมสามารถเห็นได้ในทุกเรื่อง พูดได้ในทุกเรื่อง ในทุกมิติ ทุกภพภูมิ และพูดถูกต้องตามความเป็นจริงทุกอย่าง และได้นำสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้สัมผัสมา สิ่งที่ได้ฟังทางหู ทั้งหมดผมสามารถพิสูจน์ได้ด้วยความดี ที่พระบรมบิดาประทานให้นั่นก็คือ อภิญญาใหญ่ ใครพูดอะไร ฟังอะไรมาเห็นอะไรมา ผมต้องพิสูจน์ดูติดตามดูก่อน ถึงจะเชื่อ และก็สามารถทูลถามปัญหากับพระบรมบิดา ตลอดเวลา ถึงเรื่องราวตามความเป็นจริง เพื่อให้พระองค์ยืนยันความจริง ความถูกต้องด้วย จึงไม่มีคำว่าถูกทดสอบจากชาวโลกทิพย์ ถูกจัดฉาก ถูกทดสอบจากผู้มีอำนาจเหนือชาวโลกทิพย์ และไม่ใช่การจัดฉากของผู้มีอำนาจในภพภูมิหลังความตาย
ตาย แล้วฟื้น เป็นการตายชนิดพิเศษ ถึงจะเป็นการตายก่อนอายุขัย แต่เป็นการตายที่เป็นปกติ อย่างเช่น เป็นไข้ทุกชนิด เป็นลม หัวใจวาย ท้องร่วง และอีกหลายกรณีที่ไม่ใช่อุบัติเหตุ หรือที่ตายด้วยอุบัติเหตุก็มีอยู่เช่นกัน คนเหล่านี้เมื่อร่างกายเจ็บป่วย ก็เป็นเพราะด้วยเหตุแห่งกฎแห่งกรรมส่งผล ทำให้ร่างกายของเราเจ็บป่วยมากบ้าง น้อยบ้าง รวมถึงการตายไปชั่วขณะเวลาหนึ่ง ตั้งแต่หนึ่งชั่วโมง จนถึงสามวัน จากนั้นก็ฟื้นคืนกลับมามีชีวิตขึ้นใหม่ก็มี แต่ผมจะอธิบายให้ทราบถึงผู้ที่ตายแล้วฟื้นใน ๑ - ๓ ชั่วโมงเท่านั้น มากกว่านั้นมีน้อยรายมาก เนื่องจากร่างกายของคนสัตว์ มีปัจจัยอวัยวะในร่างกาย จะต้องทำงานประสานกันอยู่ตลอดเวลา ถ้าคนที่ตายแล้วฟื้นนั้น ต้องหยุดหายใจ ร่างกายหยุดทำงาน รวมทั้งเลือดลมไม่ไปเลี้ยงสมองเลี้ยงหัวใจนานเกินไป ถึงแม้จะฟื้นคืนชีวิตมาก็อาจจะมีร่างกายไม่ปกตินั่นเอง สำหรับคนที่ตายแล้วฟื้นภายใน ๑ – ๓ ชั่วโมงนี้ ร่างกายยังจะเป็นปกติอยู่ และในช่วงเวลาเพียงแค่ ๑- ๓ ชั่วโมง ก็พอที่จะมีเวลาไปเรียนรู้ถึงเรื่องราวที่ได้ไปพบเห็นมา ในดินแดนโลกทิพย์ในบางส่วนเท่านั้น ไม่ได้ไปเห็นมาทั้งหมด ทั้งนี้เป็นเจตนาของท่านผู้มีอำนาจควบคุมดวงจิตของชาวโลกทิพย์ เป็นเจตนาให้ผู้ที่ตายชั่วคราวได้ไปเห็นเรื่องอะไร จะได้นำไปเล่าให้ผู้ที่ยังไม่ตายได้ฟัง เพื่อจะได้พากันทำความดีมีบุญมากกว่าบาปนั่นเอง
ผู้ที่ตายแล้วฟื้นส่วนมากเป็นผู้ที่ตายก่อนอายุขัย ก็คือมีกรรมที่ศาสนาพุทธเรียก กรรมอุปฆาต ก็คือ การกระทำที่เรียกว่า ในอดีตชาติมีนิสัยเป็นปกติที่จำเป็นต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้อื่น ให้ถึงความตายก่อนอายุขัย แต่คนเหล่านั้นปกติชอบทำบุญทำทานมาก คือบาปก็ทำ กรรมที่ดีก็สร้างควบคู่กันไป แต่ส่วนใหญ่จะทำบุญมากกว่าทำบาป(ฆ่า สัตว์) เช่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำ แต่ได้นำเนื้อสัตว์พวกนั้นทำเป็นอาหารไปเลี้ยงชีวิตผู้อื่น หรือนำเงินที่ ได้จากการขายเนื้อ ขายอวัยวะของสัตว์ที่ฆ่านั้น ไปทำบุญให้ทาน สร้างโรงพยาบาล สร้างสถานที่ให้ผู้คนได้เรียนหนังสือ หรือสร้างสถานที่ให้นักบวชได้ใช้เป็นที่พักอาศัย อย่างนี้ผมถือว่าเป็นบุญมากกว่าบาป แต่การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้อื่น ก็ย่อมได้รับผลบาปท่านผู้ฆ่าสัตว์นั้น จะต้องได้รับผลนั้นแน่นอน แต่จะยังไม่ได้รับผลบาปนั้นในชาตินั้น แต่จะได้รับในอนาคตข้างหน้าในอีกมากกว่า ๑๕๐ ล้านชาติ เพราะกรรมไม่ดีและก็กรรมดี ที่รอคิวที่จะส่งผลให้ความสุขกับความทุกข์แก่เรา นั้น ยังมีคิวอันยาวเหยียดมากกว่า ล้านล้านกรรม เพราะฉะนั้นกรรมใหม่เช่นการฆ่าสัตว์นั้น จะต้องไปรอคิวที่จะส่งผลตามระเบียบ (ตามกฎแห่งกรรม)เช่นกัน เมื่อกรรมแห่งการที่ได้ฆ่าสัตว์นั้นๆ ส่งผลให้ผู้ที่เคยฆ่าสัตว์เหล่านั้นมาในอดีต ได้เวลาส่งผล คนเหล่านั้นก็จะต้องเจ็บป่วยอย่างใดอย่างหนึ่ง และจะต้องตายลงไปอย่างแน่นอน ถ้าไม่มีผู้ที่ทำหน้าที่ที่จะตรวจสอบกฎแห่งกรรม สำหรับศาสนาหรือลัทธิอื่นๆ ต่างก็ไม่รู้จักผู้ที่ทำหน้าที่นี้ แต่ชาวพุทธรู้จักกันในนามว่า พญายมราช พร้อมด้วยคณะของท่าน ท่านจะรู้ดีด้วยจิตอันละเอียดของท่าน ความรู้ตามหน้าที่ ท่านจะตรวจเช็คอยู่ตลอดเวลาว่า สัตว์ไหนที่ใกล้จะตายมีบุญมีบาป จะตายด้วยวิธีไหน อย่างไร ช่วยได้หรือไม่ได้ สมัยเป็นคนมีจิตใจเป็นอย่างไร ทำดีหรือทำชั่ว บุคคลที่ ต้องตายก่อนอายุขัย แต่มีบุญที่จะเกื้อหนุนนั้นมีมากกว่า แต่ก็หลีกเหลี่ยงไม่ให้ตายไม่ได้ ยกเว้นเสียจากว่า ชาตินี้ของการเกิดเป็นคนๆ นั้นเรียนรู้วิธีการที่จะช่วยเหลือตนเองได้ด้วยตนเอง ถ้าทำได้เช่น การปล่อยปลาที่กำลังจะถูกฆ่าตาย นำไปปล่อยก่อนที่มันจะตาย หรือกำลังจะตาย(ไม่ใช่ไปซื้อจากที่เขาขายกันตามสถานที่ต่างๆ เยอะแยะในยุคปัจจุบัน รวมทั้งการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา ก็ใช้ไม่ได้ มีอย่างเดียวคือการปลดปล่อยชีวิตสัตว์ ที่กำลังใกล้ตายให้รอดชีวิต และอีกวิธีหนึ่งก็คือ การทำความดีโดยการฝึกเจริญสมาธิ บริกรรมคำภาวนาอยู่ตลอดเวลา ในแต่ละวันต้องบริกรรมอย่างน้อย ๑๕ นาที และต้องทำทุกๆ วัน เช่นบริกรรมคำว่า พุทโธ เป็นต้น
เมื่อ ท่านพญายมราชตรวจสอบว่า มีบุคคลใดที่จะตายก่อนอายุขัย แต่มีบุญมากพอที่จะช่วย แต่คนเหล่าไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าตนเองจะต้องตายก่อนอายุขัย ฉะนั้นท่านพญายมพร้อมคณะ จะต้องสร้างฉากเหตุการณ์ต่างๆ ไว้รองรับดวงจิตนั้นตั้งแต่จิตยังไม่ออกจากร่าง เมื่อจิตคนนั้นออกจากร่างกายทันที จิตนั้นก็จะพบกับภาพเหตุการณ์นั้นทันที ตามที่ผู้ที่มีหน้าที่จัดสร้างไว้ สำหรับดวงจิตนั้นโดยเฉพาะ และแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกันเสียทั้งหมด ส่วนมากท่านจะส่งบริวาร(เจ้าหน้าที่) ของท่านมารับ บางคนก็นำไปไต่สวนเป็นพิธีการเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็ให้ไปดูนรกบางขุม ไปดูสัตว์ที่ถูกลงโทษ เพื่อจะได้นำกลับไปบอกผู้คนหลังจากที่ฟื้นคืนชีวิตแล้ว แต่ละดวงจิตก็จะพบ เห็นเรื่องราวแตกต่างกันไป อาศัยเวลาอันสั้นๆ ๑-๓ ชั่วโมง ของโลกมนุษย์ จึงไม่สามารถจะให้แต่ละดวงจิตได้พบเห็นเรื่องราวต่างๆ ในดินแดนของชาวโลกทิพย์ได้ละเอียด หรือเห็นหลายสิ่งหลายอย่างได้ สิ่งที่ได้พบเห็นมานั้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผมจึงกล้าพูดว่า เรื่องราวต่างๆ ของผู้คนที่ตายแล้วฟื้นนั้น เป็นการจัดฉากจากผู้ที่มีอำนาจควบคุมดวงจิต สัตว์ที่ตายไปแล้วได้ แต่ไม่สามารถควบคุมดวงจิตของผู้ที่มีบุญมาก เมื่อจิตออกจากร่างแล้วอาศัยบุญของตนเอง ไปรับผลเป็นเทวดา หรือว่าไปเป็นพรหม หรือเข้าสู่โลกทิพย์นิพพานสรรค์นิรันดรทันที อันนี้ไม่ได้อยู่ในอำนาจของ ท่านพญายมราช อำนาจของท่านพญายมราชนั้นมีหน้าที่เพียงคอยช่วยเหลือสัตว์ที่ตายไปแล้ว แต่ไม่ได้นึกถึงบุญ ถึงแม้ว่าจะมีบุญมาก จะต้องผ่านการตัดสิน(การเตือนสติให้นึกถึงบุญก่อน) พญายมราชท่านไม่ได้ต้องการจะลงโทษสัตว์ที่ตกลงสู่อบายเสมอไป ยกเว้นสัตว์ นั้นจะลงสู่นรกแต่ละขุมด้วยบาปกรรมของตนเอง ไม่ได้ผ่านสำนักพญายมราชอย่างนี้ท่านช่วยไม่ได้ ส่วนใครที่ผ่านสำนักพญายมราช จะต้องรอเวลาการไต่สวนความดีก่อน ถ้านึกความดีได้ก่อนก็ส่งไปรับความดีในสุคติภูมิก่อน ถ้านึกถึงความดีไม่ได้ เพราะกรรมไม่ดี(บาป)มันปิดกั้นให้นึกถึงความดีไม่ได้ และไม่มีญาติสามารถส่งบุญที่เป็นความดีอันบริสุทธิ์ให้ได้ทัน ก็จะต้องไปรับทุกข์เวทนา ในนรกขุมใดขุมหนึ่งอย่างแน่นอน และท่านพญายมราช ก็มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของเจ้า หน้าที่ทุกหน้าที่ ควบคุมดวงจิตผู้ที่จะต้องตายแล้วฟื้น รวมไปถึงดวงจิตของสัตว์ที่เร่ร่อนเป็นสัมภเวสี เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานที่เร่ร่อนอยู่ในภูมิเดียวกับเรานี้ แต่มองกันไม่เห็นด้วยตาเนื้อ เพราะอยู่ต่างมิติ(ม่านมิติที่แยกมนุษย์คนสัตว์ออกจากโลกทิพย์) ม่านมิตินี้ ไม่สามารถจะปิดกั้นความเป็นทิพย์ของจิต ของผู้ที่สามารถฝึกทิพย์จักขุญาณได้ เอาละสำหรับผู้ที่ตายแล้วฟื้นแต่ละคน จะมองเห็นในสิ่งที่ไปเห็นมาในมิติหลังความตายต่างกันในแต่ละคน บุคคลที่จะต้องตายแล้วฟื้นขึ้นมาแต่ละคนนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องฟลุ๊ค แต่ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว สำหรับผู้มีอำนาจเหนือชาวโลกทิพย์แล้ว พระองค์ได้เตรียมการช่วย เหลือไว้ล่วงหน้าแล้ว ผู้ที่ไปเห็นชีวิตหลังความตายของตน เองมาแล้ว ก็จงรีบเรียนรู้การกลับสู่ แดนทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดรทันที หลังจากที่ท่านจะต้อง ตายเป็นครั้งที่ ๒ ของการเกิดมามีชีวิตของท่านในชาตินี้ เพราะว่าท่านอาจจะไม่โอกาสตายแล้วฟื้นเป็นครั้งที่ ๒ หรือครั้งที่ ๓ และถ้าหากท่านไม่รีบเรียนรู้ว่า ถ้าวันนี้ท่านจะต้องตายเป็นครั้งที่ ๒ แล้ว ท่านควรจะทำอย่างไร ที่จะไม่ต้องให้จิตของท่าน กลับไปเริ่มต้นที่เก่าตอนที่ท่านได้ไปพบมาในการตายครั้งแรก..
**********************************
สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม
การตายชนิดพิเศษ เตรียมพร้อมก่อนตาย
(ch01) 2009314_37873.jpg
ตายก่อนตาย เตรียมความพร้อมก่อนจะตายจริงๆ และ เมื่อถึงเวลาตายจริงๆ มนุษย์กลุ่มนี้ก็ถือว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดา ท่านทั้งหลายที่ได้เกิดมาแล้ว ในชาตินี้ ท่านได้มีชีวิตที่ดีที่สุด นั่นก็คือ การที่ได้เกิดมาเป็นคน คน แปล ยุ่งวุ่นวาย แต่ถ้าใครฝึกฝนตนเองได้ และไม่ใช่เรื่องยากที่จะเปลี่ยนจิตของเราจากคำว่า คน เป็น มนุษย์ มนุษย์ แปลว่า ผู้มีจิตสูง หรือแปลว่าผู้ประเสริฐ ที่ผ่านมานั้น ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทุกลัทธิ หรือใครก็ตามที่เป็นผู้นำ จะสั่งจะสอนอบรมพร่ำสอนพวกท่านว่าอย่างไรก็ตาม โดยเฉพาะชาวพุทธที่นับถือพระพุทธศาสนา จะถูกสั่งสอนอบรมต่อๆ กันมา โดยเฉพาะคำสอนส่วนมากนั้นมาจากพระพุทธเจ้า ท่านสอนให้ทำความดี และสอนให้ออกจากความทุกข์เข้าสู่เส้นทางของแดนทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดร และ คนส่วนมากมักจะสอนคนอื่นให้รักษาศีล ๕ ถึงจะเรียกว่า มนุษย์ ส่วนใครที่รักษาศีล ๕ ยังไม่ได้ ก็ถือว่า บุคคลยังเป็นได้แค่เพียงคำว่า คน เพราะมีแต่ความยุ่งวุ่นวาย ส่วนใครที่รักษาศีล ๕ได้จึงเรียกพวกเขาว่า มนุษย์ เพราะอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็มีแต่ความสงบไม่วุ่นวายมาก
แต่ สำหรับผมแล้วถึงแม้ผู้ที่มีศีล ๕ ครบ หรือว่าไม่ครบก็ตาม ถ้ามีจิตที่ดีชอบสร้างบุญกุศล ชอบขวนขวายช่วยเหลือกิจการงานของผู้อื่นหรือส่วนรวมอยู่เป็นประจำ ที่เรียกว่า งานสาธารณะประโยชน์ หรือแม้แต่ชอบสงเคราะห์สัตว์ ชอบเลี้ยงสัตว์เช่น สุนัข หรือ แมว เป็นต้น ถึงแม้จะมีศีลไม่ครบก็ตาม ผมก็ถือว่า คนๆ นั้นก็คือ มนุษย์
เอาละตอนนี้ผมจะไม่พูดถึงพุทธศาสนา ผมจะพูดถึงทุกๆ ดวงจิต ของผู้ที่เกิดมามีชีวิตที่สามารถพูดได้ ฟังได้สามารถทำความเข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือว่าท่านเป็นมนุษย์ หรือเป็นใครก็ตาม ถ้าท่านสามารถพยายามทำความเข้าใจในเรื่องที่ท่านได้อ่านอยู่นี้ ท่านจะเชื่อหรือว่ายังไม่เชื่อก็ตาม แต่อย่าพึ่งปฏิเสธ จนกว่าท่านจะได้เรียนรู้และฝึกทดสอบตรวจสอบดู ก่อนที่จะตำหนิติเตียนผู้เขียน ท่านผู้ใดมีจิตใจไม่คับแคบปฏิเสธก่อน ผมกล้าที่จะพูดว่าพวกท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจประเสริฐ และที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่ท่านพยายามจะทำตามในเรื่องต่อไปนี้ ล้วนแล้วแต่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวท่านเอง ต่อครอบครัวของท่าน ต่อผู้คนต่อชาวโลกทิพย์ที่เรียกว่า ญาติมิตรของพวกท่านโดยตรง ไม่ใช่สอนให้ท่านทำหรือปฏิบัติเพื่อผม ผล ประโยชน์ทั้งหมดผมขอยกให้ท่านผู้ทำตามทุกท่าน นับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป
วันนี้ ขอให้ท่านตั้งจิตตั้งใจคิดพิจารณาตามว่า ไม่ว่าคนหรือว่ามนุษย์ หรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน ในที่สุดแห่งชีวิตแล้วก็คือ ความตาย ไม่มีใครหนีพ้น ไม่ว่าจะยากจน หรือ ร่ำรวย เป็นกษัตริย์หรือยาจก เป็นสมณะนักบวช แม้แต่พระพุทธเจ้า สุดท้ายก็ต้องตาย แต่มันต่างกันตรงที่ว่าใครตายแล้ว จิตของท่านมุ่งสู่สถานที่อยู่แห่งใด ที่เรียกว่า ชีวิตหลังความตาย ตอนนี้พวกท่านที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว และรู้เรื่องดีว่า ตัวของท่านเองเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ผมจะไม่พูดถึงสัตว์เดรัจฉานที่อ่าน หนังสือไม่ได้ ฟังไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจ เอาเฉพาะคนหรือว่ามนุษย์ก็พอ และจงพิจารณาตามไป ชีวิตหลังความตายนั้น ดวงจิตของเราจะมีที่ไปอยู่หลายๆ ที่ด้วยกัน สถานที่ที่ดวงจิตหลังความตายร่างกายพังแล้ว มีที่แห่งใดบ้างที่ รอรับพวกท่านอยู่ และท่านจงถามใจตัวท่านเองว่า สถานที่ท่านต้องการไปหลังความตาย คือที่แห่งใด เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
*********************
สถานที่ ๘ แห่ง
ที่ท่านผู้อ่านสามารถเลือกได้ตามต้องการ ก่อนที่จะตายจริงๆ
๑. นรก คือ สถานที่มีแต่ความทุกข์ หาความสุขไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว (ch01) 2009314_38317.jpgเรียก ว่า สัตว์นรกนรก เรื่องของนรกหรือ ทุคติอบายภูมิก็ขอข้ามไป ใครอยากรู้เรื่องโดยละเอียดและถูกต้อง ก็ไปหาอ่าน จากหนังสือเรื่อง ไตรภูมิ ของหลวงปู่ฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ค่อนข้างตรงตามความเป็นจริงมากที่สุด ถูกต้องถึง ๙๙.๙๙ %
๒. อบายภูมิ คือสถานที่รับทุกข์เช่นเดียวกับนรก แต่ความทุกข์เบากว่านรก นั่นก็คือ ภูมิของเปรต อสุรกาย สัมภเวสี และสัตว์เดรัจฉาน
๓. สัตว์นอกทุคติและนอกสุคติ ไปเกิดเป็น สัตว์เดรัจฉานกึ่งทิพย์ พญานาค นาค พรายน้ำ เงือก ครุฑ
๔. โลกมนุษย์เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ต่ำต้อย กำเนิดในถุงอัณฑะสัตว์ หรือ ท้อง สัตว์ จิตไปเกิดเป็นอสุจิสัตว์เดรัจฉาน สัตว์ที่ต่ำต้อยด้อยวาสนา เพราะทำความดีความเลวไม่เป็น เลือกสถานที่ที่จะไปเกิดหลังความตายไม่ได้ แม้แต่การที่ได้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ต่ำต้อยด้อยวาสนามากๆ เช่น สัตว์เล็กๆ เช่นแมลง ยุง หนอน มดแมลงต่าง รวมทั้งเชื้อโรค เชื้อไวรัส จุลินทรีย์ แบคทีเรีย รวมทั้งสัตว์อีกจำนวนมาก ก็จัดอยู่ในโลกมนุษย์เป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่นั่นเอง (ยกเว้นสัตว์เดรัจฉานที่ได้มีโอกาสคลุกคลีอยู่กับมนุษย์ผู้มีจิตดีงามหรือ สูงส่ง สัตว์ที่อาศัยอยู่ด้วยก็จะได้รับความดีนั้นด้วย)
๕. โลกมนุษย์ กำเนิดในถุงอัณฑะคน จิตไปเกิดเป็นตัว อสุจิคน เพื่อกลับคืนสู่ขั้นตอนของการมีร่างกายที่ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ มีธาตุน้ำ ดิน ลม ไฟ รวมเรียกว่าร่าง กาย และต้องเวียนว่ายตายเกิด พบกับความสุขและทุกข์ต่อไป
๖.สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น จิตที่ดี ที่เรียกว่าจิตมนุษย์ สร้างแต่ บุญกุศล หรือมีความเคารพมีความศรัทธาต่อพระบรมบิดา หรือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า รักษาแต่ความดีงาม นึกถึงแต่สิ่งที่ดีงาม จิตจับแต่สิ่งที่ดี ชีวิตหลังความตาย จิตออกจากกายมนุษย์ ด้วยอำนาจแห่งความดีที่เราเรียกว่า บุญ จะส่งดวงจิตนั้นขึ้นสู่สุคติภูมิ ที่เราเรียกว่า สวรรค์ มีความสุขอยู่บนวิมานทิพย์ อยู่บนสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งใน ๖ ชั้น มีร่างกายเป็นทิพย์ เครื่องประดับเป็นทิพย์ มีวิมานที่อยู่อาศัยเป็นทิพย์ จะใหญ่โตมโหฬารเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับความดีที่ทำในสมัยที่มีชีวิตเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ กายทิพย์เทวดาละเอียดกว่า ร่างกายมนุษย์มาก ด้วยอำนาจแห่งความดีที่สั่งสม
กายทิพย์เทวดา(เทวบุตรและนางฟ้า) ถ้าไม่ต้(gallery) 2010722_56453.jpgองการ ให้คนหรือมนุษย์เห็น มนุษย์ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ ยกเว้นผู้ที่ฝึกทิพย์จักขุญาณ ที่ชำนาญและมีอำนาจของความดีสูงกว่าเทวดา(จิตทิพย์ที่ละเอียด) ถึงแม้เทวดาไม่ต้องการให้เห็น บุคคลที่ว่านี้ก็สามารถเห็นเทวดาได้ และเทวดาก็ไม่สามารถหลอก(ปลอมตัว)เพื่อทดสอบ หรือซ่อนเร้นได้ และสำหรับผู้ที่ได้ทิพย์จักขุญาณที่ยังไม่ละเอียด ขาดความชำนาญ และความละเอียดของจิตยังไม่สูงกว่าเทวดา ถ้าเทวดาไม่ต้องการให้เห็น หรือต้องการให้เห็นเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น(โดนเทวดาทดสอบความสามารถ) เรื่อง สวรรค์ทั้ง ๖ชั้น ไม่ต่างกันกับพรหมมากนัก เพียงแต่ยังมีเพศหญิง เพศชายที่เรียกว่า เทพบุตร และเทพธิดา ภพภูมิของสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น ก็อยู่ในมิติของโลกทิพย์นิพพานเช่นเดียวกันกับพรหม แต่ถูกกางกั้นออกจากแดน ทิพย์นิพพาน ด้วยมิติทิพย์ของผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด บนแดนทิพย์นิพพาน ในความรู้สึกเหมือนกับว่า สวรรค์นั้นห่างไกลนิพพานมาก แต่ เทวดา หรือพรหมนั้น อาศัยเมื่อเป็นมนุษย์ได้ บำเพ็ญบุญต่างกัน อาศัยกำลังของบุญ ทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา ส่วนพรหมนั้นต้องอาศัยกำลังของฌาน ตายจากความเป็นคน จิตจับอารมณ์สงบของฌาน ก็ไปเสวยทิพย์สมบัติบนชั้นพรหม มีอายุหลายร้อยหลายพันปีทิพย์ ยาวนานมาก ถ้าวันนี้เทวดานางฟ้าหรือว่าพรหม จะได้อ่านหนังสือ หรือว่าได้ยินเสียงของคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เทวดาหรือพรหมจะตั้งจิตกลับคืนสู่ โลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดรโดยไม่ต้องลงมาเกิดในโลกนี้อีกก็ได้ แต่ต้องรอ ให้หมดอายุขัยของอายุทิพย์ก่อน ซึ่งมันยาวนานมากๆ เทียบกับอายุของมนุษย์ มนุษย์เรานั้นมีอายุยืนอย่างมากก็ประมาณร้อยปี ก็ได้เข้าโลกทิพย์นิพพานแล้ว ไม่ต้องมาเวียนว่าย ตาย เกิด อีก ดีกว่าเทวดา พรหมซะอีก แต่พรหมกับเทวดาก็ดีกว่าพวกเราเป็นล้านๆ เท่า เพราะพวกเขาไม่มีร่างกายที่เต็มไปด้วยโรค เต็มไปด้วยความสกปรก และความทุกข์ เรื่องของสวรรค์ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะมีผู้รู้เขียนไว้เป็นตำรา มากแล้ว ผมคงต้องขอผ่านไปเท่านี้
๗. สวรรค์ชั้นพรหม จิตที่ดีเกาะความดีอย่างสม่ำ เสมอ ไม่ว่าจะชอบทำบุญให้ทานหรือไม่ ไม่สำคัญสำหรับข้อ ๗ นี้ จิตสามารถสร้างความดีที่ยิ่งใหญ่กว่าการทำบุญให้ทานที่ต้องอาศัยเงินทอง หรือว่าแรงงาน จิตของเราที่ฝึกเกาะความดีที่เรียกว่า ภาวนา(นึกถึงคำบริกรรมอยู่ตลอด เวลา หรือว่าทำบ่อยๆ อย่างเช่น จิตตามลมหายใจเข้าออกเป็นปกติ จิตบริกรรมคำว่า พุทโธ หรือ(ตามหลักพุทธศาสนา คือ จิตเกาะหรือพิจารณาอยู่ในกรรมฐาน ๔๐ข้อ สมถะและวิปัสสนาญาณ) ศาสนาอื่นๆ ก็ทำได้เช่น บริกรรมชื่อของผู้ที่มีความดีมาแต่กาลก่อน เช่นชื่อของพระศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งอย่างนี้ ผมเรียกพวกท่านผู้มีความดีอย่างนี้ว่า ผู้มีจิตมั่นคงในการรักษาความดี ที่เรียกว่า จิตทรงฌาน ฌานหรือ ฌานัง แปลว่า เพ่ง เพ่งอะไรที่เป็นความดี ก็เรียกว่า จิตทรงความดี คนที่สามารถรักษาความดีอย่างนี้ ได้อย่างสม่ำเสมอในแต่ละวัน เมื่อร่างกายตายไป อาศัยจิตเกาะอารมณ์ความดีนี้ อำนาจบุญที่เกิดจากจิตที่เข้มแข็งในการทำความดีสูงกว่า การทำบุญให้ทานภายนอก อาศัยความดีที่ละเอียดนี้ จิตพุ่งไปเกิดเป็นพรหมทันที มีอายุทิพย์ยาวนานกว่าเทพบุตรและนางฟ้า มีกายทิพย์ที่ละเอียดกว่ากายทิพย์ เทวดา เรียกว่าดีกว่าและสูงกว่าเทวดา ถ้าพรหมไม่ต้องการให้เทวดาเห็น เทวดาก็ไม่สามารถเห็นพรหมได้ ยิ่งมนุษย์ที่ มีกายหยาบ ถึงแม้จะได้ทิพย์จักขุญาณที่ชำนาญและละเอียดมาก แต่จิตยังไม่มีความดีสูงกว่าพรหม ถ้าพรหมไม่ต้องการให้เห็น ก็ไม่สามารถมองเห็นกายทิพย์ของพรหมได้ ดีไม่ดีถ้าจิตยังมีมานะทิฐิอยู่อาจจะถูกพรหมที่มีจิตสูงกว่า ทดสอบความรู้ความสามารถ ได้
(ch01) 2009314_38820.jpg
โยคีบำเพ็ญฌาน จิตเข้าถึงความสงบนิ่งอย่างเดียว แต่ขาดปัญญา เมื่อตายไปจากความเป็นคน ก็ไปเกิดเป็นพรหมและอรูปพรหม
พรหมโลก เป็นโลกเดียวกันกับโลกทิพย์นิพพาน แต่ถูกแบ่งด้วยความเป็นทิพย์ เพราะจิตของพรหมทุกๆ องค์ ยังไม่เข้าจิตที่แท้จริงว่า โลกนิพพานจะไปได้ก็ต่อเมื่อ ตั้งจิตที่จะไปเท่านั้น สมัยที่พรหมแต่ละองค์ยังเป็นมนุษย์อยู่นั้น ไม่ได้เรียนรู้ทางด้านปัญญามากนัก บางท่านไม่ได้ใช้ปัญญาเลยก็มี อาศัยที่ชอบนั่งสมาธิ ชอบปฏิบัติที่เรียกว่า ทรงฌานสมาบัติ จิตสงบนิ่งติดสุขอยู่ในรูปฌาน และอรูปฌาน ขาดการใช้ปัญญาพิจารณาอย่างแยบคาย ตายไปจิตจึงขึ้นสู่พรหมโลก เข้าสู่วิมาน พรหมทุกองค์ในแต่ละวิมานนั้น ไม่มีเพศหญิงเพศชาย แต่ก็ยังไม่ใช่กายทิพย์นิพพาน เป็นเพียงกายทิพย์พรหมแค่นั้น อาศัยจิตที่ทรงอารมณ์ฌานสมัยที่เป็นมนุษย์ เมื่อเป็นพรหมแล้ว จิตก็ยังชอบสงบอยู่ พรหมส่วนมากจิตจะทรงอารมณ์อุเบกขา ไม่ใช่ทรงอารมณ์ พรหมวิหารสี่ จะมีแต่พรหมที่เป็นโพธิสัตว์เท่านั้นที่จิตทรงจิตพรหมวิหาร สี่ นอกนั้นวางเฉยหมด ไม่เชื่อก็ไปพิสูจน์ดูได้ ผมกล้าเอาหัวเป็นประกัน วิมานของพรหมแต่ละหลังก็คล้ายๆ กันหมด คล้ายๆ วิมานบนนิพพาน แต่ต่างกันตรงที่สีของวิมานนั้น ส่วนมากจะเป็นสีทองเกือบทั้งหลัง จะมีเพียงวิมานของพรหมที่เป็นโพธิสัตว์ ที่มีบุญและบารมี(กำลังจิต)เข้มข้นระดับกลาง(อุปปารมี) แล้วจะมีวิมานเป็นแก้วผสมทองเป็นระยิบระยับเด่นเป็นสง่า นอกนั้นทั้งหมดก็ดู ไม่แตกต่างกันมากนัก กายทิพย์ของพรหมแต่ละองค์เหมือนๆ กัน แตกต่างกันตรงที่ร่างกายใหญ่เล็ก เครื่องประดับสีทองเป็นประกายพรึก และรัศมีกายสว่างเจิดจ้าไม่เท่ากัน รวมทั้งกำลังฤทธิ์ ก็มีมากน้อยแตกต่างกันในด้านบุญฤทธิ์ และหน้าที่ของท่านที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าพรหม ก็คือ ท่านปู่สหัมบดี พรหม อายุทิพย์ของพรหมแต่ละองค์แตกต่างกัน รูปร่างหน้าตาก็คล้ายๆ กัน เทียบเท่ากับมนุษย์ก็มีอายุประมาณ ๑๖ ปี เท่านั้น ถ้าพรหมทุกๆ องค์ได้เรียนรู้ได้ใช้ปัญญาพิจารณา ได้เข้าใจเรื่องโลกทิพย์นิพพาน แล้วตั้งจิตอธิฐานกลับคืนสู่โลกทิพย์นิพพาน ตามที่ผมเขียนในหนังสือเล่มนี้ พระบรมบิดารับรอง รวมทั้งกระผมก็ขอรับรอง ล้าน % ว่าจิตทิพย์ท่านได้ทะลุมิติทิพย์ เข้าสู่วิมานในแดนทิพย์นิพพานแน่นอน..
๘. สวรรค์ชั้นสูงที่สุดละเอียดที่สุด เรียกว่า โลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดร เป็นสถานที่ดีที่สุด สูงที่สุด ละเอียดที่สุด เลิศที่สุดและก็ประเสริฐที่สุด ยิ่งกว่าแดนใดๆ จิตมนุษย์ หรือจิตคนสัตว์ ก็สามารถไปสู่โลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดรได้ ตามความรู้ความสามารถของผม(อภิญญาใหญ่) จะเป็นนักปฏิบัติรักษาความดี มากหรือน้อยไม่สำคัญ จะเป็นพระอรหันต์หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จะมีศีล ๕ หรือไม่มีศีล ๕ ไม่สำคัญ สำหรับผมไม่จำเป็น สำคัญอยู่เพียงอย่างเดียว คือ จิต ผมผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ขอย้ำเตือนและตอกย้ำแก่พวกท่านผู้ได้มีโอกาสอ่าน หรือว่ามีโอกาสได้ฟังผมพูดในที่ต่างๆ ขอให้ท่านเรียนรู้เรื่องจิตเพียงเรื่องเดียว ตามตำราเล่มนี้พูดให้เข้าใจเรื่องจิต เน้นเรื่องจิต ถ้าไม่เข้าใจให้โทรคุยหรือหาโอกาสสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กับผม จนกว่าใจของท่านจะเข้าใจเรื่องจิต ใจก็คือจิต จิตไม่ใช่ใจ ความหมายก็คือ ใครที่ยังไม่ตายเรียกจิตว่าใจ เพราะจิตอาศัยอยู่กับร่างกาย แต่ถ้าจิตออกจากร่างกายไปแล้ว เรียกว่าจิต ไม่ว่าจะออกไปจากร่างกายชั่วคราว หรือว่าร่างกายตายไปก็เรียกว่า จิต ถ้าใครยังคิดว่าใจก็คือใจ ใจก็คือจิต ตราบใดที่ยังไม่ยอมรับเรื่องจิตก็คือ จิต ผมรับรองว่าท่านยังไม่เข้าใจในหนังสือเล่มนี้ ยกเว้นว่าท่านจะยอมทำตนเป็นคนโง่ ยอมละทิ้งมานะทิฐิเดิม แล้วทดลองตั้งสัจจะอธิฐานตามตำราของผม แล้วค่อยๆ พิจารณาในสิ่งที่ผมพูดไปเรื่อยๆ รับรองว่าวันหนึ่งไม่เกิน ๓๐ วันท่านจะเข้าใจไปโดยอัตโนมัติ เรื่องแดนทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดรนั้น ผมได้อธิบายไปแล้วตั้งแต่ตอนต้น ตอนนี้ก็ขอข้ามไป
การตายก่อนตาย คือ การคิดหรือการเตรียมตัวเตรียมใจไว้ล่วงหน้าในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เลือก บ้านหรือเลือกสถานที่ๆ จะเราจะไปอยู่ในอนาคตหลังความตายนั่นเอง สำหรับเรื่องโลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดร ผมได้อธิบายไปแล้วในตอนต้น ตอนนี้จะขออธิบายถึงวิธีการที่ง่ายที่สุด สั้นที่สุด และเป็นวิธีเรียนลัดและเป็นหนทางลัด ตัดสู่โลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดร ตามหลักพระพุทธศาสนานั้น เน้นสำคัญที่สุดก็คือเรื่องของจิต สำเร็จที่จิต จิตสำคัญที่สุด สัตว์ทั้งหลายจิตสุดท้ายก่อนร่างกายจะพัง จิตเกาะสิ่งใดก่อน เกาะความดีก็ไปสู่สุคติ เกาะสิ่งไม่ดีก็ไปสู่ทุคติอบายภูมิ แต่สำหรับผมเน้นเรื่องจิตเพียงอย่างเดียว จิตที่ตั้งไว้ดีแล้วในแต่วันเท่านั้น วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง แบ่งเป็นภาคกลางวัน ๑๒ ชั่วโมง กลางคืน ๑๒ ชั่วโมง ใครก็ตามจะเป็นนักบุญหรือว่าเป็นนักบาป ผมไม่สนใจ สนอย่างเดียวว่าทำอย่างไรที่จะทำให้ผู้คนทั้งหลาย ที่เกิดในยุคสมัยปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นยุคที่มีผู้คนได้ขึ้นสู่สวรรค์แค่เขาโค แต่ลงสู่ทุคติอบายภูมิมากกว่าขนโค ผมต้องการให้ใครก็ได้ ที่ได้อ่านหนังสือเล่มแล้ว อย่างน้อยก็ให้ได้สู่สุคติภูมิทั้งหมด สูงที่สุดก็กลับคืนสู่โลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดร แต่ถ้าท่านต้องการเลือกที่จะไปสู่สถานที่แห่งใดก็ตาม ด้วยตัวของท่านเองหลังจากได้ตายไปแล้ว จิตที่ตั้งไว้ล่วงหน้าในแต่ละวัน ซ้ำๆ ย้ำๆ อยู่ทุกวัน(จิตสั่งจิต) เป็นสัจจะอธิฐาน ที่เรียกว่า สัจจะบารมี อธิษฐานบารมีและปัญญาบารมี วันนี้ท่านที่อ่านหนังเล่มนี้แล้ว ตอนนี้ผมจะขอถามท่าน ก็ขอให้ท่านจงตอบให้ตัวของท่านเองได้ยินได้ฟังทางหูด้วย มีใครบ้างที่ไม่ต้องตาย มีหรือไม่ แม้แต่ตัวผมผู้เขียนก็ต้องตาย ตัวของท่านเองก็ต้องตาย ตายเร็วตายช้าก็ต้องตาย จริงหรือไม่ แต่ถ้าท่านตายตอนนี้เวลานี้ ผมขอถามคุณว่า จิตเมื่อทิ้งร่างกายไปแล้ว คุณจะไปที่ไหน จิตที่ไม่ได้ฝึกไว้ดีแล้ว ย่อมไม่มีความมั่นคงว่าจิตจะไปสู่ทุคติ หรือสุคติ วันนี้ผมจะบอกคุณว่า ถ้าคุณตั้งจิตเป็นสัจจะอธิษฐานว่า คุณจะไปที่ไหนถ้าคุณตายไปในวันนี้ ในตอนเช้าตั้งแต่ตื่นนอน ถ้าคุณตั้งจิตไว้ว่าถ้าเราตายในวันนี้ จะไปสู่นิพพานสวรรค์นิรันดร และถ้าคุณได้ตายในเวลาใดเวลาหนึ่ง ในเวลา ๑๒ ชั่วโมง ผมขอรับรองว่า ท่านได้ไปสู่สถานที่ตามที่จิตคุณได้ตั้งไว้แน่นอนครับ และในเวลาก่อนนอนก็ให้คุณตั้งจิตเป็นสัจจะอธิษฐาน เช่นเดียวกับตอนเช้า คืนทั้งคืนถ้าตายไปเวลาใด ผมรับรองว่าท่านได้ไปสู่สถานที่ที่ตั้งจิตไว้แน่นอน สำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อตั้งจิตอธิฐานแล้ว จงอย่าสงสัยในความดีที่ท่านได้ตั้งสัจจะไว้ดีแล้ว ให้มีความมั่นใจสูงสุด ถ้าไม่เข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้โทรคุยกับผม อย่าถามในสิ่งที่ผู้อื่นตอบท่านไม่ได้ จะทำให้ท่านไขว้เขว สูญเสียความดีที่ได้สั่งสมมานับภพนับชาติไม่ถ้วน สถานที่ที่ท่านเลือกที่จะไปนั้น หลักๆ แล้วมีเพียง ๘ สถานที่แค่นั้น นอกนั้นก็เป็นข้อปลีกย่อย และถ้าเป็นสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น มีชั้นไหนบ้างจะอธิบายไว้ย่อๆ ดังนี้ครับ....
ชั้นที่ ๑ จาตุมหาราช (เรียก อีกอย่างหนึ่งว่า อากาศเทวดา เป็นที่อยู่ของท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ (รุกขเทวดา ภุมเทวดา ก็จัดเข้ากับเทวดาชั้นจาตุมหาราชเช่นกัน สถานที่ตั้งวิมานนั้นอยู่ใกล้มนุษย์เรามากที่สุด)
ชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์เทวโลก มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า เทวดาทุกชั้น (ชั้นนี้มีแต่ความสนุกสนานรื่นเริง มีทั้งเทพบุตรและนางฟ้า)
ชั้นที่ ๓ ชั้นยามา เป็นที่อยู่ของพวกที่ชอบสวดมนต์ไหว้พระ ชั้นนี้มีแต่ความสงบเงียบ
ชั้นที่ ๔ ชั้นดุสิต เป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์เป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งพระโพธิสัตว์ปรีชาทรงธรรม เป็นหัวหน้าเทวดาชั้นนี้ อีก ๑ ล้านปีในโลกชมพูเรา ท่านจะลงมาเกิดเป็นชาติสุดท้าย แล้วตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามีพระนามว่า “พระศรีอริยะเมตไตรยบรมศาสดา”
สวรรค์ชั้น ๕ นิมมานรดี เป็นที่อยู่ของเทวดาผู้ได้อภิญญาในสมัยที่เป็นมนุษย์
ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสาวัตตี เป็นที่อยู่ของเทวดาผู้มากด้วยฤทธิ์ เพราะได้อภิญญาสมัยที่เป็นมนุษย์ สำหรับเรื่องสวรรค์ก็มีเพียงเท่านี้ ไม่มีมากกว่านี้อีก
ส่วนพรหมก็มีอยู่เพียง ๑๖ ชั้น(รูป พรหม) ชั้นยิ่งสูงก็ยิ่งมีบุญมาก และมีอายุปีทิพย์ยืนยาวมากกว่าชั้นที่อยู่ลำดับต้นๆ ส่วนอรูปพรหมนั้น ก็ขออย่าได้ตั้งจิตไปจุติโดยเด็ดขาด เพราะเป็นพรหมไม่มีรูปมีแต่ดวงจิต(คล้ายๆ หลอดไฟกลมๆ สว่างๆ ลอยอยู่) ไม่มีรูปร่าง(กายทิพย์) จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะรับความดีใหม่เพิ่มเติมได้ จนกว่าจะหมดอายุบุญ ก็ต้องลงมาเกิดเป็นคนสัตว์ แล้วก็เริ่มสั่งสมความดีใหม่ น่าเสียดายความดีไปอีกหนึ่งชาติ ส่วนใครที่ตั้งใจจะเกิดที่ใด ในสถานที่ที่ผมกล่าวมาแล้ว คำอธิฐานจงอธิฐานทุกวันเช้า และก่อนนอน การที่สอนให้ตั้งจิตตั้งใจตั้งสัจจะอธิฐานนั้น สำหรับผมแล้วสำคัญมาก ผมเรียกว่า สัตยาธิษฐาน เป็นสัจจะบารมี และอธิฐานบารมีรวมกัน แต่ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ปัญญาบารมี ท่านผู้ฟังและผู้อ่านทั้งหลาย ลองตรวจดูสัตยาธิษฐานของผมข้างล่างนี้ว่า ท่านอ่านแล้วได้อะไรบ้าง
“พระ บรมบิดาเจ้าค่ะ ลูกขอสิ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดในชาตินี้ ลูกไม่ขอเกิดอีกแล้ว การเกิดเป็นคนเต็มไปด้วยความทุกข์ ต้องแก่ เจ็บ ตาย ไปในที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับสลายไปในที่สุด โลกนี้ว่างเปล่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสมมุติ ถ้าวันนี้ลูกตาย ลูกขอกลับคืนสู่โลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดรเท่านั้นด้วยเทอญ”
ที นี้ใครที่มีจิตใจที่ประกอบไปด้วยปัญญา ก็ย่อมพิจารณาดูว่า สิ่งที่ผมได้ตั้งจิตอธิฐานมาตั้งอดีตชาติมาจนถึงปัจจุบันชาตินี้ ย่อมสำเร็จได้ด้วยจิตที่ตั้งมั่นมั่นคงไม่เปลี่ยน แปลง ทำให้ผมได้ในสิ่งที่เรียกว่า อภิญญาใหญ่(ความรู้เหนือโลก)และคำอธิฐานข้างบน นี้ในการนำท่านตั้งจิตกลับคืนสู่โลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดรนั้น เป็นทั้งกสิณเพื่อฝึกจิตทิพย์ หูทิพย์ ตาทิพย์ และให้จิตเกาะกายแก้วพระบรมบิดา รวมความแล้ว ได้ทั้งกสิณ ได้ทั้งพุทธานุสติกรรมฐาน ได้ทั้งมรณานุสติกรรมฐาน ได้ทั้งอุปมานุสติกรรมฐาน ได้ทั้งวิปัสสนาญาณสูงสุด(ปัญญาหลุดพ้นจากสิ่งสมมุติ)
อย่าง นี้สิ่งที่ผมนำพวกท่าน ให้ตั้งจิตอธิฐานกลับคืนสู่แดนทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดรนี้ เป็นอะไร เป็น ปัญญาสูงสุด หรือจะเรียกว่า ปัญญาวิมุติหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอย่างชนิดที่ว่า ละบาปลอยบุญ ใช่หรือไม่ครับ ใครที่ทำตามก็เรียกว่า ท่านผู้นั้นประกอบไปด้วยปัญญา ชอบเรียนลัดที่สุด ไม่มีทางไหนวิธีไหนที่จะง่ายที่สุด ลัดสั้นที่สุด สำหรับผู้ที่ปรารถนาการออกจากความทุกข์ในการเวียนว่ายตายเกิด เข้าสู่โลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดร และวิธีนี้ก็ครอบคลุมทุกคน ทุกท่าน ทุกศาสนา ทุกลัทธิ ทุกชั้นวรรณะ แล้วพบกันบนโลกทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดรนะครับ
***************
วิธีการช่วยเหลือญาติของท่านที่ตายไปแล้ว(ญาติทิพย์)
วิธีการที่จะช่วยเหลือสัมภเวสีพวกนี้มีหรือไม่ ช่วยได้อย่างไร ช่วยวิธีไหน ผมจะแนะนำวิธีการที่ไม่เคยมีใครแนะนำพวกท่านมาก่อน ในทุกๆ ลัทธิ ทุกๆ ศาสนา ทุกผู้ทุกนามและ ทุกๆ ดวงจิต ต่อไปนี้ท่านจงให้ความสนใจ ในสิ่งที่ท่านได้อ่านในหนังสือเล่มนี้
เพราะ ว่าพวกท่านต่างก็มีญาติมิตร มีพ่อและมีแม่ ลองตรวจดูว่าพวกเขารวมทั้งตัวของท่านเองว่า เวลานี้พวกพ้องและญาติมิตรของท่าน และตัวของท่านเอง มีจิตที่มั่นคงในความดี จิตมีที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวมั่นคงดีแล้วหรือยัง ถ้ายังจงรีบทำตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยการรีบเรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้ เพื่อช่วยเหลือตัวท่านเอง และช่วยเหลือบรรพบุรุษ และญาติมิตรเพื่อนพ้องที่ตายไปแล้ว ที่ยังเป็นสัมภเวสีอยู่ และที่กำลังรับทุกข์อย่างมากอยู่ในนรกภูมิ แต่พวกท่านที่อ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ อาจจะมีความสุขอยู่กับกองทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ พี่น้องญาติมิตรของท่านที่ตายลงไปแล้ว และได้ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้พวกท่าน ท่านมีเงินทองข้าวของเครื่องใช้อยู่ดีกินดีในเวลานี้ ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า เวลานี้พ่อแม่หรือญาติมิตรของท่านที่ตายไปแล้วอยู่ที่ไหนกัน อยู่ในสุคติหรือว่า อยู่ในทุคติ หรือเป็นสัมภเวสีอยู่ ท่านน่าจะช่วยพวกเขาได้ แต่ผมไม่ต้องให้พวกท่านใช้วิธีการช่วยเหลือด้วยวิธีการที่ได้เรียนรู้มาจาก ตำรา เพราะมันได้ผลน้อย ต่อจากนี้เป็นต้นไปท่านจงใช้วิธีการกำหนดจิตช่วยเหลือพวกเขา ไม่ว่าญาติของพวกท่านจะเป็นสัมภเวสี หรือว่ากำลังได้รับทุกข์อยู่ในนรก สำหรับผมแล้วผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด ผมเห็นพวกเขาทุกวันทุกคืน และได้ช่วยเหลือพวกเขาอยู่ทุกวันทุกคืนเช่นกัน
วิธีช่วยญาติทิพย์ให้ภาวนาว่า “สมเด็จพ่อองค์ปฐม” ๙ จบ ขอบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติและไม่ใช่ญาติ
สำหรับผู้ที่ตายไปแล้วว่า ผมเรียกพวกเขารวมๆ ทั้งหมดว่า ชาวโลกทิพย์ แยกประเภทเป็นชื่อต่างๆ ตามกรรมที่กำลังส่งผลไห้พวกเขาเป็น และถ้าญาติของท่านเกิดเป็น
(Root) 2009314_37202.jpg
๑. สัมภเวสี ก็จะมีรูปร่างร่างกายคล้ายๆ เมื่อตอนมีชีวิตอยู่ หน้าตาเศร้าหมอง ทั้งที่มีเสื้อผ้าและไม่มีเสื้อผ้าใส่ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นอะไรก็ตาม ท่านจงรับรู้ไว้ว่าดวงจิตของผู้ที่ตายไปแล้ว เฉพาะผู้ที่ยังอยู่ในภพเดียวกับเรานี้มีมากมาย แต่ที่มองไม่เห็นกัน หรือเดินชนกัน ก็เพราะอยู่กันคนละมิติ แต่บางครั้งเราอาจจะได้ยินเสียงพวกเขาได้บ้าง ได้กลิ่นบ้าง เห็นพวกเขาบ้างเป็นครั้งและบางคน ผมจะแยกชื่อประเภทพวกเขาออกเป็นชื่อๆ แต่จะไม่อธิบายละเอียดนัก ยกเว้นใครต้องการรู้มากเป็นพิเศษก็สอบถามผมมาเป็นส่วนตัวก็แล้วกัน ที่ตายไปแล้วจิตออกจากร่างกายหยาบแต่ยังไม่ได้ไปรับสุขหรือรับทุกข์ เรียกว่าเดินไปเดินมา ไปในที่ต่างๆ เหมือนตอนมีชีวิตอยู่ อดอยากหิวโหย ทรุดโทรมเศร้าหมองลงเรื่อยๆ รอรับบุญกุศลที่ญาติส่งให้ ที่รับได้ก็มีเล็กๆ น้อยๆ แต่ส่วนมากรับไม่ค่อยได้
(ch01) 2009314_38093.jpg
๒. ผีเปรต มีรูปร่างหลากหลายรูปแบบ แต่ส่วนมากไม่มีเสื้อผ้าใส่ เหม็นสาบสาง หาความสวยงามไม่ได้
รูปเหมือน เปรตประเภทหนึ่ง ในหลายๆ ประเภท
๓. อสุรกาย ผีประเภทนี้ ส่วนมากได้ไปรับทุกข์ในนรกอบายภูมิมาแล้ว แต่โทษทัณฑ์ยังไม่หมดต้องเป็นอสุรกายชดใช้กรรมต่อไป ส่วนมากไม่ใส่เสื้อผ้า ตอนพ้นจากอบายภูมิมาใหม่ ร่างกายดำๆ ผอมๆ ผมหยิกคล้ายๆ เงาะป่า นุ่งผ้าแดงหยักรั้งอย่างเดียวไม่ใส่เสื้อ หลังจากมาอยู่อาศัยในภพภูมิเดียวกับคน อาศัยอาหารจากการดูดกินเงาของเสลด น้ำลายของคนสัตว์ อุจจาระ น้ำเลือดน้ำหนอง เศษอาหาร ตามงานต่างๆ เช่น ในงานศพเป็นต้น จนกระทั่งมีร่างกายอ้วนพีขึ้น มีพละกำลังขึ้น จนกระทั่งไปเป็นบริวารของเทวดาที่มีหน้าที่รักษาสถานที่ ต่างๆ (ch01) 2009314_37570.jpgรักษา สมบัติตามถ้ำ และโบราณสถานเป็นต้น จนกระทั่งเริ่มมีความรู้ความสารถเพิ่มขึ้น พวกนี้เริ่มเข้าไปยุ่งกับชีวิตคนกับมนุษย์ นั่นก็คือ การทำตัวเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ แอบอ้างตัวเป็นเจ้าเข้าทรง นำเอาชื่อของผู้ที่ตายไปแล้วแต่มีชื่อเสียง มีความดีที่คนเคารพนับถือ มาแอบอ้าง เช่น บอกว่าเป็นเจ้าพ่อ เจ้าแม่ชื่อนั้นชื่อนี้ หรือเป็น ร. ๕ หลวงปู่ทวดนี่เยอะมาก พระศิวะ แม่อุมา นี่ก็เยอะมาก ๒ องค์นี้ รวมถึงการแอบอ้างชื่อ เจ้าแม่กวนอิมก็มีพวกนี้ ร้อยละ ๙๙.๙๙ % เป็นอสุรกาย ผมเอาหัวเป็นประกัน
๔. ผีสัตว์เดรัจฉาน พวกนี้คือผี ไม่ใช่สัตว์ที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ บางตัว(ch02) 2009314_39718.jpgก็ เป็นลิง เป็นค่าง เป็นเหมือนสัตว์ เดรัจฉานครบทุกชนิด จะเรียกว่า สัมภเวสีสัตว์เดรัจฉานก็ได้ แต่มีอยู่บางประเภท ที่ตัวเป็นคน แต่หัวเป็นสัตว์ อย่างนี้ก็มี และยังมีอีกประมาณหลายประเภทย่อยๆ จะบอกชื่อให้ฟังย่อๆ ไม่อธิบายละเอียด
๕. ภูติ ส่วนมากเป็นผู้หญิง หน้าตาค่อนข้างสวย เสื้อผ้าไม่มีใส่ โป้แต่ไม่เปลือยเพราะมีผมยาวสลวยปิดด้าน หน้าหมด เพราะกฎแห่งกรรม ที่อยู่ที่อาศัยตามศาลเจ้าร้างใหญ่ๆ
๖. ผี คือพวกที่พ้นกรรมจากสภาวะของภูตแล้ว มีเสื้อผ้าใส่เป็นผ้าถุงพื้นๆ สีขาว เสื้อรัดรูปสีชมพูและสีเขียวอ่อน ใบหน้าสวยงามแต่ผมเฝ้ารุงรัง อาศัยอยู่ตามศาลเจ้าเช่นกัน
๖. ปีศาจ คือ ตัวเป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่มีหัวเป็นคนก็มี มีตัวเป็นคนมีหัวเป็นสัตว์ก็มี อาศัยอยู่ตามถ้ำ ตามภูเขารกชัฏ และป่าดงดิบ(ทางภาคเหนือเรียกว่า ผีกองกอย) (ch01) 2009314_38138.jpg
รูปเหมือนปีศาจชนิด หนึ่งในสิบรูปแบบ
๘.ปอบ คือ พวกดวงจิตที่เร่ร่อนพเนจรแต่มีความดีอยู่ จึงถูกผู้มีคาถาอาคม พามาเลี้ยงไว้และใช้เวทย์มนต์สะกดไว้ แล้วบังคับให้ไปทำร้ายผู้คน โดยให้ปอบเข้าสิงร่างคน และเมื่อสิงร่างแล้ว ก็หาวิธีออกจากร่างคนเองไม่ได้ จะต้องมีผู้ที่มีความรู้ช่วยเหลือ พูดจาปราศรัยให้พวกปอบเข้าใจ ไม่ใช่การทำร้ายด้วยคาถา อาคม และการช่วยปอบออกร่างคนนั้นค่อนข้างยาก เพราะว่าผีปอบจะถูกหมอผีลงอาคมสะกดไว้ แม้ปอบจะอยากออกจากร่างคนก็ออกไม่ได้ หนำซ้ำสิ่งที่ยากก็คือปอบจะกลัวว่า ถ้าออกไปพ้นร่างคนก็จะถูกมนุษย์ผู้มีอาคมทำร้าย ก็เลยกล้าๆ กลัวๆ ดื้อดึงกันอยู่อย่างนั้น คนที่ถูกปอบเข้าสิงร่างแล้ว ส่วนมากมักจะไม่มีใครรู้ว่ามีปอบเข้าอาศัยร่าง เพราะถ้าไม่ได้สังเกตดีๆ ก็จะดูเหมือนคนป่วยทั่วไปที่เอาแต่นอนหลับ หลบหน้าหลบตาไม่กล้าสบตาคนที่มีความรู้เหนือ กว่ามัน ปัจจุบันนี้ ปอบมีน้อยเต็มที แต่ก็มีอยู่ส่วนมากอยู่แถบทางภาคอีสาน และที่จังหวัดนครสวรรค์ชัยนาท
๙. กุมารทอง เป็นผีเด็กทั้งหญิงและชาย มีฤทธิ์พอสมควร มีความรู้ในด้านจิตทิพย์พอสมควร ด้วยความดีในสมัยที่เป็นคนแต่ยังเด็กอยู่ได้สร้างกรรมวิบากด้วยการตำหนิ ติเตียนพ่อแม่ผู้มีคุณความดีสูง เป็นนักปฏิบัติทำความดีมากกว่าเด็ก ด้วยกรรมที่ทำด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วเสียชีวิตในวัยเด็ก ไม่ได้นึกถึงบุญบาป จิตไม่ได้เศร้าหมองมากนัก จึงไปเป็นผีกุมารทอง ถ้ารู้จักเลี้ยงดี รู้จักสรรเสริญเยินยอเขา ขอให้เขาช่วยเรื่องโชคลาภ เขาช่วยได้เป็นอย่างดีครับ แต่ต้องทำให้ถูกต้องมีวิธีการอยู่นิดหน่อยนะครับ (ผมจะไม่บอกวิธีให้ครับ เพราะมันผิดหลักการของผม) เทียบเท่าคนก็มีอายุประมาณ ๔ - ๕ ปี ไว้ผมจุก ใส่เสื้อผ้าก็มี ไม่ใส่เสื้อผ้าก็มี ผิวดี นิสัยชอบเล่นสนุก ชอบติดตามลูกหลานของผู้คนที่มีความดี ถ้าชอบใจก็อยู่ด้วยเลย ผู้ที่เล่นคาถาอาคมเล่นไสยศาสตร์ หรือหมอผีถ้ารู้ว่า บ้านไหนมีกุมารทองก็อาจจะใช้เวทย์มนต์เรียกสะกด บังคับไห้ไปอยู่ด้วยเพื่อนำไปใช้งาน หรือบังคับให้ไปกลั่นแกล้งคนอื่น ตามที่หมอผีได้รับค่าจ้างมา ถ้าใครมีกุมารทอง ถ้าไม่ต้องการให้ใครมาจับไปเลี้ยงบังคับใช้งาน ก็จงรีบหาสังฆทานมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ผ้า อาหาร นำไปทำบุญที่ไหนก็ได้ที่มีพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีๆ หน่อย แล้วรีบตั้งจิตส่งผลบุญไปให้กุมารทองทันที ถ้าพวกกุมารทองที่ไม่โง่มันจะยอมรับบุญ แล้วจะเปลี่ยนจากเด็กกุมารทอง เปลี่ยนเป็นเทวดาทันที อย่างนี้หมออาคมก็หมดสิทธิ์จับไปใช้แล้วครับ แต่ส่วนมากมันไม่ค่อยจะรับบุญ เพราะมันกลัวว่าจะไม่ได้เล่นของเล่นร่วมกับเด็กๆ ผู้เป็นลูกหลานของท่านต่อไป ต้องมีวิธีการหลอกล่อ เจรจาจนกว่ามันจะเข้าใจยอมรับบุญ ถึงจะช่วยมันได้ครับ
(ch02) 2009314_77499.jpg ๑๐. ผีลูกแท้ง เป็นผีเด็กเล็กเทียบเท่ากับคน ก็มีอายุตั้งแต่ประมาณ ๑- ๔ ขวบ มีทั้งหญิงและชาย ไม่มีเสื้อผ้าใส่เป็นส่วนมาก เนื่องจากมีวิบากกรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตผู้อื่น ที่เรียก รับจ้างทำแท้ง และทำร้ายผู้อื่นด้วยความริษยาที่พวกเขาตั้งท้อง ด้วยการใส่ยาพิษให้เขากิน จนกระทั่งแท้งลูก บางครั้งก็ตายทั้งแม่และลูก(ตายทั้งกลม) ด้วยวิบากกรรมเก่าที่ทำไว้ในอดีต เมื่อมาถือกำเนิดอยู่ในครรภ์ ยังไม่ทันได้เกิดเป็นชีวิต ก็ต้องตายก่อนอายุขัยที่ยาวนาน ลูกแท้งจึงเป็นผีชนิดพิเศษก็คือ หลังจากถูกแม่ทำแท้ง หรือแท้งเองเป็นอุบัติเหตุ พอมันตายไปจิตของมันก็คิดว่า มันไม่ได้มีโอกาสเกิดเป็นคนได้สั่งสมบุญเมื่อเติบใหญ่ หวังที่จะสร้างบุญไถ่โทษที่ทำไว้ มันจึงคิดโทษผู้ที่ทำมันตายตั้งแต่อยู่ใน ท้อง มันรู้ก็ต่อเมื่อมันตาย และจิตมันออกมาอยู่ภายนอกท้องแม่แล้ว บางรายก็ตายตอนอยู่นอกท้อง ด้วยวิบากกรรมที่มันทำผู้อื่น และเป็นการตายก่อนอายุขัย มันจึงต้องอยู่อาศัยกับพ่อกับแม่มันนั่นแหละ บาง รายมันโกรธแค้นพ่อแม่ที่ทำมันตาย มันจึงกลั่นแกล้งทุกอย่าง ทั้งเรื่องงาน เรื่องเจ็บป่วย เช่นคนที่ทำแท้งลูก มักจะปวดหลัง ปวดเอว ปวดท้อง ปวดต้นขา ปวดต้นคอ ทั้งพ่อทั้งแม่ แต่ส่วนมากแม่จะเป็นผู้ที่รับเละมากกว่าพ่อครับ ผีลูกแท้ง ส่วนมากมักจะไม่เดินเอง ไปไหนมาไหนมักชอบเกาะหลัง ขี่คอ เกาะขาเกาะเอวแม่ไป บางครั้งก็เกาะพ่อบ้าง นี่แหละคือ อาการที่เกิดการกระทำของลูกแท้ง ๕๐ – ๖๐ % พวกนี้ถ้าไม่รู้จักวิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง และไม่รู้จักวิธีทำบุญให้สำเร็จแก่ผีลูกแท้งแล้วละก็ ผมบอกได้เลยว่าไม่มีทางครับ มันไม่ยอบรับด้วยจิตอาฆาตและเศร้าหมอง รวมทั้งกฎแห่งกรรมที่มันทำไว้ในอดีต ด้วยตัวมันเอง กรรมนั้นก็ปิดกั้นไม่ให้ได้รับบุญได้ง่ายๆ หรอกครับ
๑๑. และก็ข้อสุดท้ายญาติของพวกท่าน ก็อาจจะเกิดเป็นผีสัตว์เดรัจฉาน และเป็นผีของสัตว์เดรัจฉานที่ต่ำต้อยด้อยวาสนา อีกจำนวนมาก ที่อาศัยทิพย์จักขุญาณอย่างละเอียดมากๆ ตรวจ สอบถึงจะหาเจอ ประเภทผู้ที่ได้มโนมยิทธิ หรือ ทิพย์จักขุญาณ(ตาทิพย์) ธรรมดา(ยังขาดประสบการณ์) ขาดความละเอียดรอบคอบของจิต ผมรับรองได้เลยว่า พวกท่านไม่สามารถมองเห็นชาวโลกทิพย์ ได้ครบถ้วนตามที่ผมพูดมาทั้งหมดครบทุกประเภท น้อยคนนักแม้แต่ผู้ที่มีความชำนาญในการใช้ญาณแปด แต่ก็มีเพียงไม่กี่ท่านที่มองเห็นพวกเขาได้ รวมทั้งสัตว์เดรัจฉานกึ่งทิพย์ เช่น พญานาค นาค พรายน้ำ เงือก และผีที่ไม่ค่อยมีผู้คนที่ได้ตาทิพย์พูดถึงบ่อยนักนั่นก็คือ ผีเชื้อโรค ผีเชื้อไวรัส ผีแบคทีเรีย จุลินทรีย์ ผีมด ผีแมลง และภูติ ผี อีกหลายประเภท ที่อาศัยอยู่ในภูมิเดียวกับพวกเรานี้ ดวงจิตหรือว่าอาทิสมานกายของพวกเขาเล็กมาก เช่น ผีเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย ผีจุลินทรีย์ ผีตัวอสุจิสัตว์ ผมถือว่าพวกเขาเป็นผีสัตว์เดรัจฉานผู้ต่ำต้อยด้อยวาสนา แต่อย่าไปดูถูกดูแคลนว่าพวกเขาจะไม่มีฤทธิ์มีเดชนะครับ พวกเขาอาศัยอยู่ในร่างกายคนสัตว์ เป็นจำนวนมาก และสามารถสร้างความเจ็บป่วยให้แก่ร่างกายของเราได้ พวกนี้สามารถรับบุญได้หลังจากมันตายแล้ว ก่อนที่มันจะเกิดใหม่ ถ้าเรามีบุญที่ส่งให้มันได้ เมื่อมันรับบุญจากเราแล้ว ขั้นแรกมันก็เปลี่ยนร่างกายเป็นเทวดาน้อยๆ ก่อน จากนั้นพอให้บุญอีกครั้งสองครั้งมันก็เป็นเทวดาเต็มที่เลย เอาละถ้าผมจะอธิบายละเอียดมาก หนังสือเล่มนี้ก็คงจะหนามากเกินไปครับ
****************************
ประเภทที่รับวิบากกรรมพิเศษ อยู่นอกอบายภูมิ
๑๒. พลายน้ำ(ภูติ น้ำ) เป็นผู้หญิงที่มีฤทธิ์เล็กน้อย คือจำแลงแปลงกายได้ แต่ไม่สามารถขึ้นจากน้ำได้ดังเช่นในหนัง เป็นหญิงสาวสวยรูปร่างคล้ายๆ ผู้หญิงชาวบ้านไม่ใส่เสื้อผ้า หน้า ตาดี ชอบเล่นกับคนที่ลงไปเล่นน้ำ แต่ไม่เคยเอาชีวิตใคร นอกจากคนที่เล่นน้ำจะตายเอง ด้วยผลกรรมคือ ตายก่อนอายุขัยจมน้ำตาย ไม่เกี่ยวกับพลายน้ำหรอกครับ และพลายน้ำไม่ได้มีอยู่ในน้ำทั่วๆ ไป มีอยู่ในเฉพาะบริเวณที่ถูกกำหนดให้อยู่เท่านั้น

(ch01) 20091024_43072.jpg

รูปตัวอย่าง พรายน้ำ
****************
(about) 20091024_42078.jpg
๑๓. เงือก(เป็น ชาวโลกทิพย์) เป็นหญิงสาวไม่สวมเสื้อเปลือยท่อนบน สวย ผมยาวปิดหน้าอก ท่อนล่างเป็นปลา อาศัยที่บริเวณพื้นที่ที่ถูกจำกัดให้อยู่แถบแม่น้ำ ในบริเวณภูเขาสิเนรุ
๑๔. พญานาค และนาค(เป็น สัตว์เดรัจฉานกึ่งทิพย์) มีทั้งเพศชายและเพศหญิง พญานาค ก็คือหัวหน้ามียศ มีอำนาจ มีฤทธิ์มาก ส่วนนาคก็คือ ผู้ที่ไม่มียศ เป็นบริวารของพญานาค ฤทธิ์ก็น้อยกว่า จำแลงแปลงกายเป็นคนได้ อยู่ในเมืองบาดาล อยู่ในถ้ำที่มีความลึกจากพื้นดินลงไป ๑๐ กิโลเมตร อยู่ในถ้ำใต้แม่น้ำ ใต้สระใหญ่ ใต้แม่น้ำคงคา แม่น้ำโขง แม่น้ำยมุนา
(ch01) 2009314_37775.jpg
รูปตัวอย่าง สัตว์เดรัจฉานกึ่งทิพย์ ที่มีชื่อว่า พญานาคและนาค ภาพนี้ใกล้เคียงของจริงประมาณ ๘๐ - ๙๐% แต่ส่วนมากก็ขึ้นอยู่กับเจตนาของพวกเขาจะให้เห็นเป็นอย่างไร(ที่มาของภาพพญานาค ครุฑ อสุรกาย: www.kalyanamitra.org.com
๑๔. ครุฑ เป็นสัตว์เดรัจฉานที่มีกายทิพย์ มีแต่เพศชาย อาศัยอยู่ป่าหิมพานต์(ภูมิเดียวกับโลกเรา) และที่มีความดีสูงกว่าที่อยู่ในป่าหิมพานต์ ก็มีอยู่บนสวรรค์ดาวดึงส์เทวโลก และบนสวรรค์ชั้นดุสิต ทำหน้าที่ดูแลเขตแดนสวรรค์ทั้งสองชั้น
(ch01) 2009314_37627.jpg
รูปตัวอย่าง : กายทิพย์ของครุฑ ของจริงไม่ใส่เสื้อใส่สร้อยสังวาล มีปีกใหญ่มาก
*************
กรรมวิบากที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานกึ่งทิพย์
พญานาค พรายน้ำ เงือก ครุฑ
(ch69) 2009313_81672.jpg
กรรมวิบากที่ได้กระทำไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เป็น นักบุญที่เรียกตนเองว่า ผู้ปฏิบัติ แต่เป็นนักปฏิบัติที่ขาดความรู้ความเข้าใจ ในหลักการสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่า “อัตนาโจทยัตตานัง จงเพ่งโทษ โจษความผิด มองหาความผิดของตนเองอยู่เสมอ” ด้วยความรู้และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ตาม เมื่อคิดว่าตนเองเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เหมือนกับผู้คนในสมัยปัจจุบัน นี้ ที่เที่ยวประกาศให้ผู้อื่นรู้ว่า “ฉันเป็นนักปฏิบัติธรรม” แต่ที่แท้จริงแล้วส่วนมากเป็นเพียง “นักปฏิบัติทำ”(ทำตามนิสัยสันดานตนเอง) ไม่ได้ทำตามคำสั่งของพระพุทธเจ้า จิตจริตยังชอบเพ่งโทษผู้อื่นอยู่ ชอบดู จริยาชาวบ้านหรือผู้อื่นว่า เขาทำไม่ดี ทำไม่ถูก ทำไม่สมควร เป็นนักปฏิบัติที่ชอบตำหนิติเตียนผู้อื่นว่า มีความดีน้อยกว่าเรา ด้อยกว่าเรา มีจริยาความดีไม่เท่าเราอย่างนี้เป็นต้น แต่อาศัยความดีที่เรียกว่า การทำสมาธิมากกว่าการให้ทานรักษาศีล การเจริญสมาธิจิตได้มากบ้างน้อยบ้าง บางท่านก็ได้ตั้งแต่สมาธิเล็กน้อย บางท่านก็ได้ถึงขั้นที่เรียกว่าฌาน ๔ ก็มี แต่ไม่ได้ถึงซึ่งปัญญาที่เรียกว่า อริยะมรรคอริยะผลทรงไว้ซึ่งสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมคิดใคร่ครวญให้ดีก่อนแล้วจึงค่อยพูดค่อยทำ การที่ตนเองเป็น นักปฏิบัติธรรมทำความดี แต่ไม่ได้เรียนรู้ถึงวิธีการที่จะทำตนเองให้เกิดความก้าวหน้าในด้านปัญญา อาศัยความมีมานะทิฐิหรือเรียกว่า อกุศลกรรมที่ส่งผลดลบันดาลให้ คิดผิด พูดผิด ทำผิด ไปตามกฎของกรรม จึงทำให้เผลอไผลไร้สติไปตำหนิติเตียนผู้อื่น โดยอาศัยการที่ได้ฟังผู้อื่นพูดให้ฟัง หรือไปเห็นจริยาเล็กๆ น้อยๆ ภายนอกที่ได้เห็น บางครั้งพอลูกศิษย์ที่มีความเคารพในตนมาถามถึงผู้นั้นผู้นี้ ด้วยสติปัญญา ที่ขาดการพิจารณาโดยแยบคาย ไม่ได้ตรวจสอบถึงข้อเท็จจริงที่ละเอียดถี่ถ้วน จึงได้ตำหนิผู้อื่นด้วยเจตนาและไม่เจตนา แต่เพียงเพื่อตอบปัญหาลูกศิษย์ที่มาถามเท่านั้น รวมทั้งบางครั้งได้มีโอกาสพูดคุยและได้สนทนาธรรมแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ อื่น ด้วยความเมามันปล่อยอารมณ์ไปตามกรรม จึงได้พูดพาดพิงตำหนิติเตียนถึงผู้อื่นด้วยเจตนาและไม่เจตนา แต่กฎของกรรมที่ต้องได้รับนั้น มีแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดย เฉพาะการที่ได้ไปตำหนิติเตียน แก่ผู้ที่ได้มรรคผลทรงความดีสูงกว่า เรียกว่า อริยะทรัพย์ภายในที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก โดยเฉพาะผู้ที่ได้ตาทิพย์ หูทิพย์ จิตทิพย์ ที่ชอบไปตรวจสอบผู้ที่มีความดีสูงกว่าตนเอง ก็มักจะตรวจสอบผิดพลาดอยู่เสมอ เพราะคำว่าถูกทดสอบนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของนักปฏิบัติ โดยเฉพาะผู้ที่มีความ ดีที่มีสติมีปัญญา มีจิตละเอียดสูงกว่าผู้ที่กำลังตำหนิติเตียนท่านอยู่ แค่คิดจะตรวจ สอบจิตท่านผู้มีความดีสูงกว่า กระแสจิตของผู้นั้นก็จะพุ่งไปหาทันที และก็จะ ถูกพรหมหรือเทวดาที่รักษาคุ้มครองท่านผู้ทรงความดีปิดกั้น และส่งสัญญาณภาพลวงเพื่อทดสอบทันที
จึง เป็นเหตุให้ท่านผู้ที่ใช้ตาทิพย์จิตทิพย์ ไปตรวจสอบผู้อื่นได้รู้ตามสภาวะกลลวงเท่านั้น เห็นอย่างไรหรือตรวจสอบได้อย่างไร ก็นำสิ่งนั้นไปบอกแก่ศิษย์ หรือผู้ที่มาถาม เป็นเหตุให้สร้างกรรม ในด้านการตำหนิหรือการเพ่งโทษผู้อื่น ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม หาก ผู้ที่ได้ตำหนิผู้อื่นนั้น ถ้าในชาตินี้ยังไม่ได้รับความดีสูงสุดในด้านจิตที่ประกอบด้วยปัญญา เมื่อ จิตเกาะวิบากกรรมนั้น(มโนกรรมและวจีกรรม) หลังจากร่างกายได้ตายลงไป อาศัยวิบากกรรมนั้นจิตจึงไปเสวยสุคติและทุคติพร้อมๆ กัน นั่นก็คือไปเกิดเป็นพญานาค นาคบริวาร เงือก พลายน้ำ ครุฑ ด้วยผลกรรมที่ทำด้วยกาย วาจา ใจทันที
สำหรับผู้ที่ไปเกิดเป็นพญานาค นาค และครุฑ ด้วยอาศัยเหตุอย่างอื่นก็ยังมีอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือนักปฏิบัติที่อาศัยนุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ และได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีจิตที่ละเอียดในอารมณ์สมาธิพอสมควร แต่ยังไม่มั่นคงนัก ยังขาดการพิจารณาในด้านปัญญา และสิ่งที่ได้ทำลงไปในกิจวัตรประจำวันที่ทำให้พระธรรมวินัยบกพร่อง แม้แต่อาบัติเล็กน้อยที่เรียกว่า อาบัติปาจิตตีย์ อาบัติปาฏิเทสนียะ อาบัติทุกกฎ อาบัติทุพภาสิต มีการละเมิดเป็นประจำ ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา รู้หรือไม่รู้ก็ตาม ถึงแม้จะปลงอาบัติแล้วแต่ยังมีการละเมิดอยู่ ก็ถือว่าจิตเศร้าหมอง เพราะละเมิดคำสั่งสอนของพระศาสดา เมื่อตายไปอาศัยจิตที่ไม่ค่อยผ่องใส ก็ต้องไปเป็นพญานาค เป็นนาคบริวาร หรือเป็นครุฑ อย่างเช่น พญาเอรกปัตตนาคราช บวชเป็นภิกษุในสมัย สมเด็จพระพุทธกัสสปะพุทธเจ้า สมัยนั้นคนมีอายุถึง ๔๐,๐๐๐ ปี ท่านบวชเป็นพระภิกษุรักษาศีล เจริญภาวนาอยู่บนเกาะริมทะเลนานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี แต่ยังไม่เข้าใจในคำสอนพระพุทธเจ้า ท่านทำผิดเพียงแค่ทำตะใคร่น้ำ ให้ขาดจากกันด้วยไม่ได้เจตนา ทำให้ต้องอาบัติปาจิตตีย์ จิตเศร้าหมองเพียงเล็กน้อย ตายไปไม่สามารถไปเป็นเทวดาหรือเป็นพรหมได้ เพราะเหตุต้องอาบัติ จึงไปเกิดเป็นพญานาคมีชื่อว่า เอรกปัตตนาคราช อยู่ใต้แม่น้ำยุมนาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะบรมศาสดา มาจนถึงปัจจุบันนี้เวลาได้ล่วงมาถึง ๑,๒๕๒,๕๐๐ ปีล่วงมาแล้ว พญาเอรกปัตตนาคราชก็ยังไม่หมดอายุขัยเสียที อาศัยความดีที่เธอมีความเคารพในพระพุทธเจ้า จิตของท่านจึงทรงความดีอยู่มาก ถ้าเธอตายจากความเป็นพญานาค ก็จะไปเกิดเป็นพรหมอยู่ชั้นที่ ๕ ในสมัยพระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตยบรมศาสดา
ด้วย เหตุนี้พระภิกษุที่ต้องอาบัติหนัก ก็ต้องตกอเวจีมหานรกเป็นจำนวนมาก ส่วนผู้อาบัติเบาลงมาก็ไปเกิดเป็นพญานาค นาค ครุฑ อย่างเช่นเอรกปัตตนาคราช ส่วนภิกษุณีหรือ แม่ชีทั้งหลายก็ไปเกิดเป็นพญานาคก็มี เป็นนาคบริวาร เป็นเงือก และพลายน้ำ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติธรรมดาทั่วไปที่ชอบตำหนิติเตียนผู้ที่ทรงความ ดีสูงกว่า ก็ได้ไปเกิดเป็นพญานาค นาค พลายน้ำ เงือก และครุฑ ดังที่กล่าวมาแล้ว
**************
(ch01) 2009314_37599.jpg
รูปตัวอย่าง อสุรกายที่มีฤทธิ์มากพอสมควร พวกนี้ชอบแอบอ้างตัวเป็น เจ้าพ่อเจ้าแม่ ที่มีชื่อเสียง อยู่ตามสำนักเจ้าทรง
**************** (ch01) 2009314_37969.jpg
รูปตัวอย่าง ยักษ์ บริวารท้าวเวสสุวรรณ ปกติก็เป็นเทวดา แต่เวลาทำหน้าที่ในทิศทั้งสี่ ต้องใส่ชุดทำงานอย่างนี้
*******************
(ch01) 2009314_38689.jpg
ภิกษุ ผู้เล่นเดรัจฉานกถา สร้างวัตถุมงคลหลอกลวงผู้อื่น ต้องอาบัติ ตายไปเป็นผีเปรตประเภทหนึ่งมีจริงๆ ถ้ากรรมหนักก็ล่วงหล่นลงสู่อเวจีมหานรก
(ที่มาของภาพนี้ www.oknation.net และ www.aia.or.th)
**************************
(ch01) 2009314_38490.jpg
รูปเหมือน กายทิพย์เทพบุตรปรีชาทรงธรรมบรมโพธิสัตว์ อยู่ชั้นดุสิต อีก ๑ ล้านปีข้างหน้า จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า มีพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตยบรมศาสดา
รวมทั้งกายทิพย์เทวดา ทุกๆ ชั้นก็คล้ายๆ อย่างนี้ แตกต่างกันที่บุญบารมี และรัศมีของกายทิพย์ เครื่องประดับ สีของเครื่องแต่งกาย สีของเครื่องประดับ จะแตกต่างกันไปบ้างนะครับ
(ภาพจากวัดท่าซุง (จังหวัดอุทัยธานี)
****************
(ch01) 2009314_38541.jpg
รูปเหมือน กายทิพย์ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ หัวหน้าเทวดาชั้นจาตุมหาราช หรือ อากาศเทวดา(สวรรค์ชั้นที่ ๑) และเป็นหัวหน้าใหญ่ของพระภูมิเจ้าที่
ภาพจากวัดท่าซุง (จังหวัดอุทัยธานี
**********************
(gallery) 2010722_49676.jpg
รูปตัวอย่าง วิมานทิพย์บนแดนทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดร
ภาพ ที่ผมนำมาลงให้ท่านได้ดูนี้ เพื่อให้ผู้ที่ได้ตาทิพย์ หูทิพย์ ได้ดูเป็นตัวอย่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อย่างน้อยก็เป็นประโยชน์ ให้ผู้ที่เคยเห็นในทางจิต ได้เกิดความมั่นใจว่าที่ท่านได้เห็นนั้นเป็นเรื่องจริง แต่อาจจะมีบางภาพ บางเรื่องที่แตกต่างกันออกไปบ้างเล็กน้อย ก็ไม่ต้องวิตกกังวล หรือสงสัยไปเลยนะครับ ใครที่ฝึกได้ตาทิพย์และหูทิพย์ ถ้าท่านจะนำความรู้นี้ไปฝึกให้เก่ง ให้เกิดความชำนาญในด้านทิพย์จักขุ(หรือเรียกง่ายๆเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ ตาทิพย์)ก็จะเป็นประโยชน์แก่ท่าน ญาติของท่าน และได้ช่วยเหลือชาวโลกทิพย์ไม่น้อย ก็มากครับ
วิธีฝึกตาทิพย์ หูทิพย์ที่ละเอียดยิ่งขึ้น จะมองเห็นผีที่เล็กๆ ง่ายๆ ขั้นแรกก็ทดลองนำนมเปรี้ยว มาตรวจดูจนกว่าจะมองเห็นพวกเขาว่า นมเปรี้ยวขวดหนึ่งข้างขวดเขาบอกว่า มีจุลินทรีย์แล็คโตบาซิลลัส อยู่ประมาณ ๓-๔ ล้านตัว ตรวจดูซิว่าจริงหรือไม่ ตามที่พวกเขาโฆษณากัน ผมเคยหาดูแล้วหา ยังไงๆ ก็มีอยู่เพียงแค่ประมาณ ๓ – ๔ หมื่นตัว(ดวงจิต) หลังจากนั้นตรวจสอบเจอแล้ว ก็เอาขวดนมไปตั้งไว้กลางแดด หรือที่มันร้อนๆ เพื่อให้มันตายจากร่างกายหยาบก่อน จากนั้นก็ตรวจสอบดูด้วยจิตทิพย์ ตรวจพบเจอแล้ว ก็ได้ให้บุญพวกเขา โดยการภาวนาในใจว่า สมเด็จพ่อองค์ปฐมบรมบิดา สัก ๓ จบ แล้วดูการเปลี่ยนแปลงของพวกเขา จากนั้นก็ภาวนาต่อไปอีก ๖ จบ แล้วดูการเปลี่ยนสภาวะจากเชื้อจุลินทรีย์ กลายเป็นเทวดาน้อย จนกระทั่งเป็นเทวดาเต็มองค์สวยงามมากๆ นี่ผมแนะนำให้แก่ท่านที่ฝึกตาทิพย์หูทิพย์ได้แล้ว แต่ยังไม่เคยสำรวจตรวจสอบถึงชาวโลกทิพย์ที่ท่านยังไม่เคยรู้มาก่อนนะครับ
และสำหรับท่านทั้งหลาย ที่ต้องการช่วยญาติของท่าน ที่ได้ตายจากความเป็นคนเป็นสัตว์ไปแล้ว รวมถึงชาวโลกทิพย์ที่แวดล้อมอยู่ใกล้ๆ บริเวณเดียวกันกับท่าน ถ้าคุณสวดภาวนาชื่อ “สมเด็จพ่อองค์ปฐม” หรือ ถ้าท่านนับถือลัทธิหรือศาสนาอื่นๆ ก็ใช้คำว่า “พระบรมบิดา” ทุกๆ วัน เช้า ๙ จบ เย็น ๙ จบ หรือทำได้มากกว่านั้น ก็จะช่วยพวกเขาให้พ้นทุกข์ได้เกือบทั้งหมด นี่แหละเป็นวิธีการทำงานของผม พวกท่านสามารถใช้ได้ในวิธีการเดียวกับผม ถึงแม้ว่าท่านจะมองไม่เห็นพวกเขาก็ตาม ต่อไปนี้ท่านที่ได้หูทิพย์ตาทิพย์ที่อยู่ว่างๆ ว่างมากเกินไป ก็หัดใช้ตาทิพย์หูทิพย์(จิตทิพย์) รวมทั้งบางสิ่งบางอย่างที่พระบรมบิดา หรือว่าพระพุทธเจ้าได้มอบประทานให้ท่าน จงนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ช่วยเหลือชาวโลกทิพย์ ตามวิธีการที่ผมแนะนำมาข้างต้นนี้บ้าง ไม่ใช่ใช้หูทิพย์ ตาทิพย์ จิตทิพย์ไปเที่ยวดูแต่จิตใจผู้อื่น ให้รู้ถึงวิธีการการทำ หูทิพย์ ตาทิพย์(จิตทิพย์) ให้เกิดประโยชน์แก่ชาวโลกทิพย์บ้าง ไม่อย่างนั้นท่านจะถูกพวกเขาแกล้ง เอาไม้เอานิ้วจิ้มร่างกายของพวกท่านให้สะดุ้งมาเยอะแล้ว แต่ก็ไม่เคยตรวจสอบดูสักราย ว่าใครมาจิ้มกู ทำเป็นเฉยบ้าง คิดว่าเป็นอย่างอื่นบ้าง บางรายตรวจสอบดูหาพวกเขาไม่เจอ ก็เนื่องจากความละเอียดของจิตยังไม่ดีพอนั่นเอง แม้แต่ตัวของผู้เขียนนี้ก็เช่นกัน ก็ยังต้องฝึกอยู่เช่นกัน ท่านสามารถฝึกตรวจสอบดูบ้างก็ได้ว่า ผู้เขียนหนังสือนี้เป็นใครมาจากไหน ตราบใดที่ยังหาตัวจริง(จิต) ของผมยังไม่เจอว่า ผมคือใคร? ถึงกล้าเขียน กล้าท้าพิสูจน์ในทุกเรื่องได้อย่างไม่เกรงใจใคร ผมไม่ได้ท้าทายท่านผู้ที่มี ความรู้สูงกว่าผมนะครับ ต้องกราบขออภัยอย่างยิ่ง ถ้าทำให้ท่านไม่พอจิตพอใจ แต่เจตนาก็เพื่อให้ผู้ที่ฝึกอภิญญาได้ และผู้ที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า ท่านมีหูทิพย์ ตาทิพย์ และมีจิตทิพย์รู้วาระจิตใครต่อใครได้ กระผมต้องการขอเพียงให้ท่านทั้งหลายได้ช่วยกัน ช่วยเหลือชาวโลกทิพย์บ้าง ทั้งที่เป็นญาติและก็ไม่ใช่ญาติของท่านบ้าง พวกเขามาฟ้องมารายงานผมอยู่ทุกวันว่า ทุกวันนี้พวกเขาโดนผู้ที่ทรงความดี นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ และผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นญาติมิตร ที่รักกันชอบกันในสมัยที่เป็นคน แต่ตอนนี้พวกเขาพากันสวดมนต์ สวดพระปริตร นำวัตถุมงคลที่มีอำนาจ รวมทั้งนำน้ำมนต์ของพระอรหันต์ มาปะพรมขับไล่พวกเขา รังแกพวกเขาอยู่ทุกๆ วัน
ท่าน ทั้งหลายฟังให้ดี ตอนเป็นคนยังมีชีวิตอยู่ ถ้าอ่านตรงนี้แล้วยังชอบทำอยู่ พอตายไปก็ถูกญาติกระทำเช่นเดียว กัน กงกรรมกงเกวียน นี่แหละสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม (ch01) 2009316_66529.jpg (ch01) 2009314_39458.jpg
ชาวเอธิโอเปีย กับชีวิตที่ไม่ได้เรียนรู้เรื่อง การเวียนว่าย ตาย เกิด
บุคคลที่มีจิตยึดเกาะอยู่กับความดี เมื่อจิตที่ดีมีพลังความดีอยู่ตลอดเวลา ในแต่ละวันแต่ละคืน ชนเหล่านี้เมื่อตายลงไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะตายด้วยเหตุว่า ตายก่อนอายุขัย หรือว่าตายตามอายุขัย จิตที่ละทิ้งร่างกายไปส่วนมาก ๙๙.๙๙ % อาศัย ความดีของตนเอง ขึ้นสู่สวรรค์ชั้นต่างๆ ที่เรียกว่า สุคติภูมิทันที โดยไม่ต้องรอโอกาสให้ญาติหรือว่าใครก็ตามที่ยังมีชีวิตอยู่ ช่วยเหลือ ส่วนผู้ใดที่ชอบเพ่ง(ฌานหรือ ฌานัง แปลว่า เพ่ง) อาศัยจิตที่ชอบเพ่งคำภาวนา เพ่งกสิณ หรือบทสวดที่สั้นๆ อยู่ตลอดเวลา อย่างนี้ในศาสนาพุทธ เรียกว่า จิตทรงความดีอย่างต่อเนื่อง(จิตละเอียดอยู่ในความดี ตั้งแต่ระดับ ๑ ถึงระดับ ๔(ฌาน ๑ ถึง ฌาน ๔) ชนเหล่านี้ตาย จากความเป็นคนไปจุติ(เกิด)เป็นพรหมชั้นใดชั้นหนึ่ง ตามแต่ความละเอียดของจิตแต่ละท่านทันที โดยไม่ต้องไปรอเวลาเป็นสัมภเวสี หรือเป็นสัตว์ในอบายภูมิ นี่แหละความหมายของคำว่า คนหรือมนุษย์โดยย่อๆ แต่สำหรับท่านผู้ใดก็ตาม ที่ได้ตั้งจิตขอไปแดนทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดร ไม่ว่าท่านจะดีหรือเลว อดีตท่านจะเป็นอย่างไรผมไม่สน และก็ไม่ต้องการให้ทุกท่านที่ได้อ่านหนังสือนี้ สนจิตสนใจอดีตที่ล่วงไปแล้วเช่นกัน ให้สนจิตสนใจอย่างเดียวว่า ใครตั้ง จิตกลับสู่แดนทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดร เอาเฉพาะตั้งจิตเบาๆ กันก่อน ให้กำหนดตั้งจิตในตอนเช้ากับก่อนนอนทุกๆ วัน แค่นี้ผมขอรับรองด้วยชีวิตว่า ทุกท่านได้กลับสู่แดนทิพย์นิพพานสวรรค์นิรันดร ในชาตินี้อย่างแน่นอน...