เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอนเนอร์-จี-ฟอร์ซ ทายาทของตำนานขับสี่ - ดีไซน์ต้นแบบ


การเข้ามาเป็นตัวแทนของตำนานบทหนึ่ง ๆ ที่ได้รับการเล่าขานมานานกว่า 30 ปีอย่างที่สุดยอดรถขับสี่แสนทรหด อย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ จี-คลาส หรือที่เคยเรียกกันว่าจี-แวกอน รถที่ขึ้นชั้นหัวแถวของรถขับเคลื่อนสี่ล้อของค่ายดาวสามแฉก เป็นรถที่กองทัพในยุโรปและวาติกันเลือกใช้เป็นพาหนะส่วนพระองค์ของสมเด็จพระสันตะปาปามานับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 จนถึงปัจจุบันโดยแทบจะไม่มีการปรับเปลี่ยนรูปโฉมเลยนั้น และยังถือว่าเป็นรถที่มีอายุยาวนานที่สุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์อีกด้วยเช่นกัน นับว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายทุก ๆ คนที่เกี่ยวข้องอย่างถึงที่สุด เพราะจี-คลาสนั้นเป็นรถรุ่นสุดท้ายที่ยังเป็นเมอร์เซเดส-เบนซ์แบบพันธ์แท้ รุ่นสุดท้ายที่ว่าดั้งเดิมนั่นก็คือการเป็นรถยนต์ที่เรียบง่าย และสร้างขึ้นด้วยวัสดุและวิศวกรรมชั้นเลิศให้ทนทานชั่วลูกชั่วหลาน!
แต่ในที่สุดนักออกแบบไฟแรงของเมอร์เซเดส-เบนซ์จากศูนย์ออกแบบของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประจำเมืองคาลส์บัด มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ได้เผยโฉมรถแนวคิดที่ “อาจ” จะได้เป็นตัวแทน ด้วยรถที่มีชื่อว่า เอเนอร์-จี-ฟอร์ซ ที่เล่นคำพ้องเสียงกับคำว่า เอนเนอร์จี ฟอร์ซ หรือ “แรงแห่งพลัง” รถที่พวกเขาบอกว่าเป็นรถแนวคิดสำหรับปี ค.ศ. 2025 ที่ใช้ดีเอ็นเอของรถรุ่นจี-คลาส แต่ได้รับการปรับเปลี่ยนแนวทางให้ตอบรับกับรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป นั่นก็คือ รถรุ่นใหม่นี้ไม่ได้เรียบง่ายอีกต่อไป ด้วยตัวถังที่ใหญ่กว่ารุ่นเดิมมาก รวมถึงทรวดทรงที่ “หนา” ราวกับเข้ายิมมาอย่างต่อเนื่องจนกล้ามบึ้ก ผสานเข้ากับกระจกห้องโดยสารและแนวหลังคาที่เตี้ย ให้ความรู้สึกที่่เต็มไปด้วยความดุดันและน่าเกรงขาม
อย่างไรก็ตาม รายละเอียดที่เป็นเอกลักษณ์ต่าง ๆ ก็ยังถูกนำมาใช้เป็นองค์ประกอบในการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นไฟเลี้ยวที่อยู่เหนือฝากระโปรง กระจกหน้าต่างแยกสามบาน ซุ้มล้อทรงเหลี่ยม แต่ส่วนที่เป็นยางอะไหล่ที่แขวนประตูท้าย แม้รถรุ่นใหม่นั้นหันไปใช้ยางรันแฟลตทำให้ยางอะไหล่กลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่เพื่อคงไว้ซึ่งดีเอ็นเอของจี-คลาส จึงได้ถูกแทนที่ด้วยกล่องเครื่องมือและประแจถอดล้อแทน ส่วนของไฟหน้านั้นก็ได้นำเทคโนโลยีแอลอีดีมาใช้สร้างสรรค์เป็นตัวอักษรจี (G) อย่างงดงาม ดูลงตัวไม่ขัดเขินแต่ประการใด เป็นอีกหนึ่งแนวคิดเก๋ ๆ ที่น่านำไปใช้ในรถรุ่นที่จำหน่ายจริง
แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากรถรุ่นดั้งเดิมไปมากนั้นเห็นจะเป็นแนวคิดเรื่องของพลังงาน เพราะเอเนอร์-จี-ฟอร์ซใช้พลังงานไฟฟ้า และแหล่งพลังงานนั้นก็มาจากระบบ “เซลล์เชื้อเพลิง” หรือที่รู้จักกันในชื่อของ ฟิวเซลล์ รวมไปถึงเทคโนโลยีที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ เรียกว่า ไฮโดรเทค ซึ่งอาศัยพื้นที่เก็บน้ำบนหลังคารถนำน้ำที่เก็บได้ในธรรมชาติมาแปรสภาพเป็นไฮโดรเจน เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าต่อไป โดยพลังงานไฟฟ้าจะถูกเก็บไว้บริเวณสเกิร์ตข้างอันทำหน้าที่เป็นแบตเตอรี่ ซึ่งนอกจากนั้นยังมีมาตรวัดแสดงปริมาณไฟฟ้าที่เก็บไว้ได้อีกด้วย และหากต้องการพลังงานไฟฟ้าแบบเร่งด่วนก็สามารถสับเปลี่ยนกับแบตเตอรี่ชุดใหม่ได้อย่างสะดวกสบาย
นอกจากนี้ยังนำเสนอระบบที่เรียกว่า เธอร่า สแกน หรือระบบสแกนพื้นผิวรอบตัวรถ เพื่อนำข้อมูลพื้นถนน (และที่ ๆ ไม่ใช่ถนน) มาใช้ในการปรับระบบช่วงล่างให้เหมาะสมกับทุกสภาพการเดินทาง ส่วนที่เห็นเป็นก้อน ๆ 4 ก้อนอยู่เหนือกระจกหน้านั้นก็หาใช่อะไรพิสดาร แต่มันก็คือไฟสปอตไลต์ที่ถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งกับหลังคารถนั่นเอง
นับว่าเป็นรถต้นแบบที่ออกแบบมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ แต่จะสามารถมาแทนที่ตำนานรุ่นพี่ได้หรือไม่ หรือเป็นได้เพียงรถที่หวือหวาแต่มาแล้วก็ไป ผู้เขียนคงไม่อาจคาดเดาได้ แต่หากถามว่ารถคันนี้ “ได้ใจ” หรือไม่ บอกได้เลยว่า “เอาไปเลย เต็ม 100!”.
ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
http://www.dailynews.co.th/article/1546/168661