เตือนอันตรายบุหรี่มวนเองมะเร็งปาก
กรุงเทพฯ - ผลวิจัยพบบุหรี่มวนเองกลับมาระบาดเหตุเพราะราคาถูก รสชาติใกล้เคียงบุหรี่ซอง ขณะที่นักสูบไม่รู้ถึงพิษภัยยาเส้น กระดาษเคลือบสีสุดอันตราย ก่อมะเร็งช่องปาก ข่าวดี กระทรวงวิทย์ต่อยอด ผลิตลูกอมดอกหญ้าขาวเลิกบุหรี่ คาด 2 ปีได้ใช้
รศ.ดร.บัวพันธ์ พรหมพักพิง อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น หัวหน้าโครงการวิจัยเรื่องเส้นทางยาเส้น เปิดเผยว่า การสำรวจสถานการณ์การสูบบุหรี่ของพื้นที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ อาทิ ร้อยเอ็ด เชียงราย เพชรบูรณ์ หนองคาย ของผู้สูบบุหรี่และผู้ค้า ทั้งแบบซองและแบบมวนเอง โดยแยกเป็นเกษตรกร จำนวน 400 ราย กลุ่มโรงงาน 61 โรงงาน ร้านค้าในชุมชน 200 ร้านค้า และผู้สูบบุหรี่มวนเอง จำนวน 400 ราย เริ่มทำการสำรวจตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 ถึงปัจจุบัน พบว่า หลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการเพิ่มภาษีบุหรี่แบบซองเพื่อควบคุมการบริโภคยาสูบ ทำให้บุหรี่แบบซองมีราคาแพงขึ้น ส่งผลให้การสูบบุหรี่ลดลง แต่มีนักสูบบางส่วนที่เปลี่ยนพฤติกรรมหันมาสูบบุหรี่แบบมวนเองมากขึ้น เนื่องจากมีราคาถูก
จากการสำรวจพบว่า อัตราการสูบบุหรี่แบบมวนเองของนักสูบเพิ่มสูงขึ้น ต่อเดือนจะมีจำนวนผู้สูบบุหรี่แบบมวนเองสูงถึงร้อยละ 27.6 ขณะที่จำนวนผู้สูบบุหรี่แบบซองอยู่ที่ร้อยละ 9 หากเปรียบเทียบการสูบต่อวัน มีจำนวนผู้สูบบุหรี่แบบมวนเองร้อยละ 16.30 บุหรี่แบบซองร้อยละ 4.83 ซึ่งนักสูบต้องเสียค่าใช่จ่ายในการซื้อบุหรี่ต่อสัปดาห์ เมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายทั้งหมด แบ่งเป็นบุหรี่แบบมวนเองร้อยละ 16.89 ส่วนบุหรี่แบบซองร้อยละ 35 สะท้อนว่าบุหรี่แบบมวนเองเริ่มกลับมาเป็นที่นิยมของนักสูบอีกครั้ง เพราะมีราคาถูกเมื่อเทียบกับบุหรี่แบบซอง อีกทั้งปัจจุบันผู้ผลิตมีการปรับปรุงรสชาติยาเส้นให้มีความใกล้เคียงกับ บุหรี่แบบซอง ให้สามารถทดแทนกันได้ ส่งผลให้ร้านขายของชำในหมู่บ้านจำหน่ายบุหรี่แบบมวนเองแทบทุกร้าน
ดร.ศิริวรรณ พิทยรังสฤษฏ์ ผอ.ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) กล่าวว่า บุหรี่มวนเองเป็นเพียงหนึ่งในเป็นปัญหาของการบริโภคยาสูบที่ยังขยายตัว งานวิจัยชี้ชัดว่านักสูบส่วนใหญ่เข้าใจผิด ว่าบุหรี่มวนเองมีพิษภัยน้อยกว่าบุหรี่ซอง ทั้งที่ความจริง ทำให้เกิดมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง หลอดเลือดหัวใจอุดตัน ได้เช่นกัน ส่วนกระดาษที่ใช้มวนหากเป็นกระดาษที่มีสีสันอาจมีสารเคมีเคลือบปน เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในช่องปาก ซึ่งการสนับสนุนให้มีนักวิจัยมาศึกษาปัญหาบุหรี่จะทำให้ได้ข้อเท็จจริง รู้เท่าทันสภาพปัญหา ศจย.จึงร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีเครือข่ายนักวิจัยด้านบุหรี่ 4 ภาคทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมทั้งเก็บข้อมูลในพื้นที่ของตัวเอง นำมาศึกษาเป็นงานวิจัยร่วมกับนักวิชาการด้านสุขภาพ
ดร.ศิริวรรณกล่าวว่า นักวิจัยไม่ได้หมายถึงผู้ที่เป็นหมอหรือบุคลากรสาธาณสุขเท่านั้น แต่อยากให้ทุกคนในพื้นที่ร่วมศึกษาปัญหาด้านบุหรี่ด้วยกัน โดยจะมีนักวิชาการรวมอยู่ในทีมคอยเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาอภิปรายโจทย์ พัฒนาไปเป็นงานวิจัยที่มีคุณภาพร่วมกัน โดยจะให้อิสระเปิดกว้าง สามารถนำเสนอหัวข้อการวิจัยไม่มีขีดจำกัด เชื่อว่าจะมีนักวิจัยท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น โดยจะนำร่องในภาคอีสาน ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จ.ขอนแก่น วันที่ 27-29 ต.ค.นี้
"มีตัวอย่างงานวิจัยที่น่าสนใจ อาทิ การสำรวจการใช้มอระกู่ของกลุ่มวัยรุ่น การนำระบบจีไอเอสมาประยุกต์ใช้เพื่อตรวจสอบหาแหล่งจำหน่ายบุหรี่เถื่อน อีกทั้งยังมีงานวิจัยอีกหนึ่งชิ้นที่น่าสนใจ คือ ทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าสมุนไพรหญ้าดอกขาวช่วยลดความอยากสูบบุหรี่ได้ สอดคล้องกับผลวิจัยสถาบันธัญลักษณ์ ศจย.จึงร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ นำผลการศึกษาไปต่อยอด นำสมุนไพรหญ้าดอกขาวไปสกัดเป็นสารเลิกบุหรี่ในรูปแบบของลูกอม คาดว่าจะผลิตออกมาให้ผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ได้ใช้ในอีก 2 ปีข้างหน้า.