“มงกุฎของราชินี”..ผลไม้เปลือกสีเข้ม โดดเด่นนามมังคุด


มงกุฎของราชินี
ผลไม้เปลือกสีเข้ม โดดเด่นนามมังคุด ถึงยุคสู่ความงาม
ผลไม้ไทยนั้นได้ชื่อว่าเป็นผลไม้ยอดนิยมของผู้คนทั่วไป ไม่ว่าจะในแวดวงคนไทยเอง  หรือแม้แต่ชาวต่างชาติ
ที่มีโอกาสแวะเวียนมาเยือนบ้านเรา ส่งผลให้ชื่อเสียงในเรื่องความหลากหลาย สดใหม่ ตลอดจนรสชาติที่ยอดเยี่ยมเลื่องลือไปถึงประเทศอื่น ๆ ด้วย และในจำนวนนี้ก็มีผลไม้เปลือกสีเข้มอย่างมังคุดรวมอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความโดดเด่นของมังคุดนั้นนอกเหนือจากรสชาติหวานหอม บางครั้งอมเปรี้ยวน้อย ๆ สีขาวสะอาดตา และราคาไม่แพงแล้ว เจ้ามังคุดก็ยังมีคุณสมบัติพิเศษในการลดอาการร้อนในได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะแนะนำลูกหลานให้กินมังคุดตบท้ายหลังการกินทุเรียน เพราะอย่างที่เราราบกันดีอยู่แล้ว ทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูง และแม้จะอุดมไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็สามารถเพิ่มพูนปริมาณไขมันในร่างกายได้มากด้วย นั่นหมายความว่า โรคอ้วนที่จะตามมารบกวนเรา นอกจากนี้ยังจะถูกสะสมเป็นพลังงานความร้อนในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายมีอุณภูมิสูงขึ้น หรือที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า ร้อนใน ตามภาษาแพทย์แผนไทย แล้วก็เป็นภูมิปัญญาแพทย์แผนไทยอีกเช่นกันที่แนะนำให้กินมังคุดตามเพื่อลดความร้อนดังกล่าว เพราะมังคุดเป็นผลไม้เย็นดับร้อนได้ดี ตามหลักการแพทย์แล้วเมื่อร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุล อาการร้อนเกินไม่มี อาการเย็ยเกินไม่มี ก็สบายใจได้ว่าเราอยู่เป็นสุขแน่ แต่คงแก้ปัญหาเรื่องความอ้วนไม่ได้ แนะนำได้เพียงว่าอย่ากินเกินเท่านั้นเอง
                ความน่าสนใจในเรื่องของมังคุดและทุเรียนนี้ยังไม่หมด เพราะยังมีผู้รู้ที่เห็นความโดดเด่นในรูปลักษณ์ของทั้งทุเรียนและมังคุด นำเอาเอกลักษณ์ดังกล่าวนี้มากำหนดนิยามให้เสียใหม่อย่างเหมาะเจาะลงตัว และยิ่งใหญ่ ความแหลมคม ยื่นยาวของเปลือกทุเรียนนั้นประหนึ่งมงกุฎของพระราชา ดังนั้นนามว่า ราชาแห่งผลไม้ จึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับผลไม้ชนิดนี้ ส่วนมังคุดนั้นเล่า ลักษณะของกลีบเลี้ยงที่ติดอยู่ด้านบนของผลก็คล้ายคลึงกับมงกุฎของพระราชินี คำว่า ราชินีแห่งผลไม้จึงกลายเป็นอีกชื่อหนึ่งที่ให้สมญานามกัน ทั้งมังคุดและทุเรียนยังมีความเป็นมาที่น่าสนใจ ทั้งในเรื่องของเผ่าพันธุ์ แหล่งเพาะปลูกต่าง ๆ ที่สำคัญกว่านั้นคือสรรพคุณในการรักษาโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มังคุด ในตำราแพทย์แผนไทยระบุว่า ส่วนเปลือกแห้ง ที่มีรสฝาดนำมาใช้แก้ ท้องเสีย บิด มูกเลือดได้ โดยนำเปลือกผลตากให้แห้งต้มกับน้ำปูนใส แล้วนำมาดื่มแก้อาการท้องเสียได้เลย หรือจะนำมาฝนกับน้ำดื่มก็ทำได้ สามารถใช้ได้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในเด็กอาจให้ในปริมาณน้อยกว่าผู้ใหญ่เล็กน้อย คือประมาณ 1-2 ช้อนชา ทุก ชั่วโมง ส่วนผู้ใหญ่ครั้งละ ช้อนโต๊ะ ทุก ชั่วโมง แต่หากมีอาการเป็นบิด (ปวดเบ่ง มีมูก และอาจมีเลือดออก) ให้ใช้เปลือกผลแห้งประมาณครึ่งผล (กรัม) ย่างไฟให้เกรียมฝนกับน้ำปูนใสประมาณครึ่งแก้วดื่มทุกชั่วโมง นอกจากนี้บางแห่งยังนำเปลือกตากแห้งฝนกับน้ำปูนใส ทาแผลพุพอง แผลเน่าเปื่อยได้ด้วย
                ในทางวิทยาศาสตร์เองก็มีการศึกษาวิจัยเพื่อหาสารสำคัญที่มีฤทธิ์รักษาอาการต่าง ๆ อย่างที่ตำราแพทย์แผนไทยมีการระบุสรรพคุณ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ศึกษาพบว่า ในเปลือกมังคุดมีสารแทนนินและสารเคมีอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์แก้อาการท้องเดิน สมานแผล และยังฆ่าเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของหนองด้วย แต่ก็มีข้อควรระวังเรื่องขนาดของการใช้ เพราะสารที่เปลือกมังคุดมีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลางและเพิ่มความดันเลือดได้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานการศึกษาพบสารสำคัญจำพวก xanthones ด้แก่ mangostin ซึ่งมีฤทธื์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราได้หลายชนิด เช่น แบคทีเรียอันเป็นสามารถเหตุของท้องเสีย ได้แก่ Shigella dysentertae, Shigella flexnesi, Shigella sonnei, Shigella boydii, Escherichia coli, Streptococcus feacalis, Vibrio cholerae (Shankranaryan et al., 1979) สารสำคัญในการออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สาเหตุการเกิดหนองได้แก่ สารผสมของ mangostin และอนุพันธ์ สามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของการเกิดหนอง คือ Staphylococcus auraus ทั้งสายพันธุ์ปกติ และสายพันธุ์ที่ดื้อต่อ penicillin (วิลาวัลย์ และคณะ,2525) และพบว่าสาร mangostin และอนุพันธ์ของสาร xanthone มีประสิทธิภาพในการยับยั้งแบคทีเรียที่ชักนำให้เกิดสิวได้แก่ เชื้อ Propionibacterium acnes และ เชื้อ Staphylococcus epidermidis (Chomnawang et al., 2005) นอกจากนี้สารสกัดจากเปลือกมังคุดยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา เช่น เชื้อกลาก ฮ่องกงฟุต (พะยอม, 2521) ได้ด้วย
                ผศ.ดร. มัลลิกา ชมนาวัง จากภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการทดสอบสมุนไพรจำนวน 18 ชนิด ได้แก่ ฟ้าทะลายโจร สะเดา ช่อระอา คำฝอย บัวบก ตะไคร้ สาบเสือ มังคุด พญายอ กระเจี๊ยบ พลูขาว มะเขือเทศ หญ้าปักกิ่ง เทียนกิ่ง ฝรั่ง ชุมเห็ดเทศ ขี้เหล็ก และดาวเรือง เพื่อศึกษาความสามารถในการใช้รักษาสิว โดยการทดสอบฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคสิว คือ Propionibacterium และ Staphylococcus sp ซึ่งเป็นเชื้อที่กระตุ้นให้เกิดหนอง ทำให้เกิดการอักเสบของสิว จากการทดสอบพบว่า สารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถยับยั้งได้ดีที่สุด นอกจากนี้เมื่อทดสอบฤทธิ์ในการต้านการอักเสบที่เกิดจากการกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาว ด้วยฤทธิ์ข้างต้นและฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระก็พบว่า ผลการทดสอบที่ได้คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ สารสกัดจากเปลือกมังคุดมีฤทธิ์ต้านเชื้อที่ทำให้เกิดสิวอักเสบได้ดีที่ความเข้มข้นประมาณ 39 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร มีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งสารที่ทำให้สิวอักเสบได้สูงกว่า 90%นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระอันเป็นต้นเหตุของการเกิดรอยแผลเป็นของบสิวอักเสบสูงถึง 77.8% รายงานการศึกษาต่าง ๆ เหล่านี้เอง ที่จุดประกายความคิดให้แก่นักวิจัยในยุคต่อมา โดยเฉพาะการศึกษาวิจัยของหน่วยปฏิบัติการเทคโนโลยีสมุนไพรและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำการศึกษาสารสกัดจากเปลือกมังคุด โดยการนำเปลือกมังคุดที่ทิ้งเสียไปอย่างไม่มีค่า มาทำสารสกัดให้ได้สารสำคัญ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านความงาม ซึ่งการศึกษาในครั้งนี้คณะวิจัยพยายามหาวิถีทางในการสกัดอย่างง่ายไม่ยุ่งยาก ชาวบ้านทั่วไปก็อาจนำไปทดลองทำดูได้ คาดว่าในอนาคตนอกจากจะช่วยลดของเสียจากเศษผลไม้ที่ทิ้งเสียไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว ยังได้ประโยชน์จากมูลค่าเพิ่มที่แฝงตัวอยู่ในเศษส่วนเหล่านี้อีกด้วย
                แต่ก่อนที่จะไปทำความเข้าใจกับกระบวนการดังกล่าว เรามารู้จักตัวตนที่แท้จริงของมังคุดกันก่อนดีกว่ามังคุด หรือ Mangosteen มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าGarcinia mangostana Linn. เป็นพืชที่ถูกจัดอยู่ในวงศ์ GUTTIFERAE เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-12 เมตร ทุกส่วนมียางสีเหลือง ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่ หรือรูปวงรีแกมขอบขนาน กว้าง 6-11 ซม. ยาว 15-25 ซม. เนื้อใบหนา และค่อนข้างเหนียว คล้ายหนัง หลัวใบสีเขียวเข้ม เป็นมัน ท้องใบสีอ่อน ดอกเดี่ยวหรือเป็นคู่ ออกที่ซอกใบ ใกล้ปลายกิ่ง สมบูรณ์เพศ หรือแยกเพศ กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลือง กลีบดอกสีแดงฉ่ำน้ำ ผลเป็นผลสด ค่อนข้างกลม ขนาดไม่ใหญ่มากหรือประมาณหนึ่งกำมือของคนเรานั่นเอง บริเวณผลด้านบนมีกลีบเลี้ยงของดอกสีเขียวติดอยู่เป็นกระจุก และยังมีกลีบดอกสีแดงแข็งเหลือติดอยู่ด้านล่างของผลด้วย สีของเปลือกเป็นสีม่วงอมแดงหรือม่วงอมน้ำตาล ภายในมีเนื้อนุ่มฉ่ำน้ำสีขาวสะอาดเบียดกันอยู่ และหลังจากที่เรารับประทานเนื้อสีขาวนี้หมดแล้วก็จะพบเมล็ด 6-8 เมล็ดซ่อนอยู่ และเมล็ดมังคุดนี้เองที่สามารถนำไปเพาะขยายพันธุ์ได้
                มังคุด เป็นพืชที่สามารถเจริญเติมโตได้ดีในดินเกือบทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะสมควรเป็นดินเหนียวปนทราย ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงสามารถอุ้มน้ำและระบายน้ำได้ดี มีความเป็นกรดอ่อน ๆ คือ มีค่าความเป็นกรดด่างของดิน
(ค่า pH) ประมาณ 5-6 ส่วนดินที่มีสภาพเป็นด่าง มังคุดจะเจริญเติบโตได้ช้า (สถาบันวิจัยพืชสวน, 2532) พื้นที่ที่เหมาะสมต่อการปลูกมังคุดควรมีสภาพภูมิอากาศร้อนและชุ่มชื้น คือ มีอุณหภูมสม่ำเสมออยู่ในช่วง 25-30 องศาเซลเซียส เกือบตลอดทั้งปี มีฝนตกชุกสม่ำเสมอ ปริมาณน้ำฝนไม่น้อยกว่า 1,300 มิลลิเมตรต่อปี และที่สำคัญต้องเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำเพียงพอที่จะใช้กับต้นมังคุดได้ในฤดูแล้ง การนำมังคุดไปปลูกในสภาพอากาศแห้งแล้งและมีอุณหภูมิสูงหรือต่ำเกินไปจะพบปัญหาเรื่องใบไหม้ และการเจริญเติบโตช้า
                มังคุดมีอยู่พันธุ์เดียวเรียกกันว่าเป็นพันธุ์พื้นเมือง เพราะเป็นพืชที่ปลูกด้วยเมล็ด และเมล็ดมังคุดไม่ได้เกิดจากการผสมเกสร จึงแทบจะไม่มีโอกาสกลายพันธุ์เลย แม้จะพบว่ามังคุดสายพันธุ์จากเมืองนนท์ มีผลเล็กและเปลือกบาง มังคุดปักใต้เปลือกหนา แต่ยังไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนพอที่จะแยกเป็นพันธุ์ได้ ส่วนการขยายพันธุ์ทำได้หลายวิธี เช่น การเพาะเมล็ด เสียบยอดและทาบกิ่ง แต่วิธีที่นิยมปฏิบัติกันมาก คือ การเพาะเมล็ด เพราะสามารถทำได้สะดวกรวดเร็ว ต้นมังคุดที่ได้ไม่กลายพันธุ์ แต่มีข้อเสีย คือ ต้องใช้เวลานานถึง 7-8 ปีกว่าจะได้ผลผลิต แต่หากมีการบำรุงรักษาเป็นอย่างดีก็อาจได้ผลเร็วกว่านี้ ส่วนการขยายพันธุ์ด้วยวิธีเสียบยอดที่นำพันธุ์ดีจากต้นที่เคยให้ผลมาใช้ เป็นวิธีที่ช่วยให้มังคุดให้ผลผลิตได้เร็วขึ้น
                โดยปกติมังคุดจะออกผลมาให้เราบริโภคกันในช่วงย่างเข้าฤดูฝน ในเนื้อของมังคุดนั้นนอกจากจะมีรสชาติชวนให้ลิ้มรสลองแล้ว ยังอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ได้แก่ วิตามินและเกลือแร่อื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น น้ำตาล กรดอินทรีย์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก นอกจากนี้ยังมีกากใยที่ช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย มีเรื่องเล่ากันว่า หากอยากรู้ว่าจำนวนเนื้อภายในของผลมังคุดมีเท่าใด ก็ให้นับปริมาณกลีบดอกที่ติดอยู่ภายนอกผลดู เท่านี้ก็เป็นอันรู้ได้แล้ว ใครใคร่ทดสอบก็ลองดูได้ตามสะดวก
                ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่เมื่อเรารับประทานเนื้อในหมดแล้ว ก็มักจะทิ้งไปอย่างไร้ค่า ก็คือส่วนเปลือก ที่ผู้เขียนได้เล่าให้ฟังบ้างแล้วในตอนต้น แม้ว่าจะทราบแล้วก็ตามว่ามีคุณประโยชน์ทางยา ใช้ในการักษาอาการท้องเสีย เป็นบิดได้ แต่วิทยาการสมัยใหม่ก็ช่วยรักษาอาการเหล่านี้ง่ายดายขึ้น อีกทั้งขั้นตอนในการนำไปใช้ก็ยุ่งยาก ยังต้องใช้เวลาในการตระเตรียมไม่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคนไทยในยุคปัจจุบัน (บางคน) เสียแล้ว จึงเกิดความสูญเปล่าจากการนำเปลือกมังคุดมาใช้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความพยายามศึกษาวิจัยในหลากหลายแง่มุม และในที่สุดคณะนักวิจัยจากหน่วยงานปฏิบัติการเทคโนโลยีสมุนไพรและความหลากหลายทางชีวภาพ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (Kasetsart Agricultural and Agrolndustrial Product Improvement Institute) หรือ KAPI ซึ่งมี ศ.ดร.ธีระ สูตะบุตร เป็นผู้ก่อตั้งสถาบันฯ และดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันฯ เป็นคนแรก ในระหว่างปี 2534 – 2540 และรองศาสตราจารย์ วิชัย หฤทัยธนาสันติ์ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันฯ คนต่อมาจนถึงปัจจุบัน ก็ประสบความสำเร็จในการสกัดสารสำคัญจากมมังคุด ด้วยวิธีสกัดด้วยตัวทำละลาย ซึ่งเป็นเทคนิคในการแยกสารออกจากของผสมโดยใช้ตัวทำละลายที่เหมาะสม ซึ่งเป็นเทคนิคที่มีประโยชน์มากในเคมีอินทรีย์ เช่น การแยกสารออกจากของผสมที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ทั้งในพืช สัตว์ และจุลินทรีย์
การสกัดสารจากพืชสามารถทำได้ 3 วิธีด้วยกัน คือ
                1.  Maceration วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากที่สุด โดยทำการคัดเลือกตัวทำละลายที่เหมาะสมกับสารในพืชสมุนไพรแล้วนำพืชสมุนไพรไปใส่ไว้ในภาชนะที่ปิด เช่น ขวดปากกว้าง ขวดรูปชมพู่หรือโถ ทำการเขย่าเป็นเวลา และแช่ไว้อย่างน้อย วัน จากนั้นนำมากรองแล้งบีบเอาสารสกัดออกมาจากกากสมุนไพรให้ได้มากที่สุด นำสารละลายสมุนไพรที่ได้ไปทำการกรองเอาเศษสมุนไพรที่ติดออกให้หมด แล้วจึงนำสารที่ได้ไปใช้ประโยชน์ต่อ วิธีนี้มีข้อดีคือ สารสกัดจะไม่ถูกความร้อน ทำให้โอกาสในการสลายตัวของสารสกัดลดลง ข้อเสียของวิธีนี้คือจะสิ้นเปลืองตัวทำละลายมาก
                2.  Soxhlet Extraction เป็นวิธีที่ใช้ความร้อนในการสกัดและต้องอาศัยการควบแน่นเข้าช่วย เป็นวิธีการสกัดแบบต่อเนื่อง ตัวทำละลายจะต้องมีจุดเดือดต่ำเมื่อระเหยจะนำสารจากพืชสมุนไพรไปด้วยจากนั้นเมื่อถูกความเย็นก็จะกลั่นตัวลงใน Thimble ซึ่งบรรจุสมุนไพรไว้ เมื่อทำตัวละลายใน extracting chamber สูงขึ้นถึงระดับกาลักน้ำ สารสกัดจะไหลกลับไปในขวดรูปชมพู่ด้วยวิธีกาลักน้ำ ทำตัวละลายก็ระเหยขึ้นแล้วกลั่นตัวกลับมาเป็นตัวทำละลายสกัดสารใหม่วนเวียนไป การใช้ความร้อนอาจทำให้สารที่ระเหยง่ายระเหยออกไป จึงไม่เหมาะกับการสกัดสารจากพืชสมุนไพรที่มีสารที่ระเหยง่าย เป็นองค์ประกอบ วิธีการสกัดแบบต่อเนื่องนี้เหมาะสำหรับการสกัดสารองค์ประกอบที่ทนต่อความร้อน และใช้ตัวทำละลายน้อยไม่สิ้นเปลือง
                3.  Extraction of volatile oil ใช้สำหรับการสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยวิธีการต่าง ๆ หลายวิธี เลือกใช้ตามความเหมาะสมของพืชแต่ละชนิด เช่นการดูดซับ การใช้ตัวทำละลาย วิธีการบีบ การกลั่นโดยน้ำหรือไอน้ำ
                จากการศึกษาพบว่า การสกัดด้วยวิธีแรก หรือที่เรียกว่า Maceration เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการสกัดสารจากเปลือกมังคุคทั้งในแง่ของคุณภาพของสารสกัดที่ได้ อีกทั้งกรรมวิธีที่ไม่ยุ่งยาก และประชาชนทั่วไปก็สามารถนำไปศึกษาและนำไปปฏิบัติได้โดยง่าย ซึ่งสามารถสรุปขั้นตอนในการสกัดได้ดังนี้คือ ขั้นแรกนำเปลือกมังคุดมาล้างให้สะอาด ผึ่งให้น้ำแห้ง แล้วนำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต่อจากนั้นนำมาทำการสกัดเย็นโดยใช้ตัวทำละลายเอทานอล แช่ทิ้งไว้เป็นเวลา 3-7 วัน แยกสารละลายที่สกัดได้มากรอง แล้วทำการสกัดซ้ำด้วยเอทานอลจนครบ 3 ครั้ง นำสารสกัดที่ได้จากการสกัดทั้ง 3 ครั้งมาระเหยตัวละลายด้วยเครื่อง rotary evaporator 
จะได้สารสกัดหยาบด้วยเอทานอล (ethanol crude extract) แต่หากไม่มีเครื่อง rotary evaporator ก็ให้นำสารสกัดที่ได้ไปตากแดดให้แอลกอฮอล์ระเหยออกจนหมด อาจสังเกตได้ด้วยการดมดูว่ากลิ่นแอลกอฮอล์หมดไปหรือยัง ถ้าไม่มีกลิ่นแล้วก็แสดงว่าแอลกอฮอล์ระเหยออกไปหมดแล้ว จากนั้นนำไปปิดฝาให้มิดชิดแล้วเก็บไว้ในที่เย็น เพราะถึงแม้ว่า สารสกัดมังคุดจะสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ก็ตามแต่ไม่สามารถยับยั้งเชื้อราบางชนิดได้ หากไม่ปิดฝาให้มิดชิดและเก็บไว้ในที่เย็นก็อาจขึ้นราได้
ภาพขั้นตอนแสดงการสกัดสารสกัดจากเปลือกมังคุด

เปลือกมังคุดสดหรือแห้ง 


ล้างให้สะอาด 


ผึ่งน้ำให้แห้ง 


หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ 


การสกัดเย็นด้วยเอทานอล 


กรองแยกสารสกัดออกนำไประเหยตัวทำละลาย 


สารสกัดหยาบจากเปลือกมังคุดสดและแห้ง  ด้วยเอทานอล 

                หลังจากนั้นนำสารสกัดที่ได้ไปทำการทดสอบฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ซึ่งโดยทั่วไปสามารถทำได้หลายวิธี แต่มีวิธีหลัก ๆ อยู่ วิธีด้วยกันได้แก่
1.  Dilution test
            วิธีนี้เป็นการทดสอบในเชิงปริมาณ เพราะสามารถทราบค่าความเข้มข้นของยาที่ทำลายเชื้อได้ นิยมใช้ทดสอบเชื้อที่เจริญได้ช้า ใช้ทดสอบยืนยันผลวิธีDiffusion ที่ให้ความไวปานกลางหรือดื้อยา เพื่อว่าจะสามารถใช้ยานั้นในจำนวนสูง ๆ ได้ และใช้ทดสอบความไวของเชื้อแอนแอโรบ (anaerobe) หรือเชื้อจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้อากาศในการดำรงชีพหลักการโดยทั่วไปของวิธีทดสอบคือ การเลี้ยงเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารเลี้ยงเชื้อซึ่งมีสารทดสอบที่เจือจางในปริมาณต่าง ๆ ผสมอยู่ด้วย วิธีนี้สามารถบอกค่าความเข้มข้นของสารที่ยับยั้งและทำลายเชื้อได้ การทดสอบวิธีนี้แบ่งออกเป็น Broth dilution method และ Agar dilution method
Broth dilution method
                 เป็นการทดสอบหาความไวของเชื้อต่อยาปฏิชีวนะ โดยวิธีนี้เป็นวิธีที่ละเอียดวิธีหนึ่ง การทดสอบนี้จะทำให้ทราบทั้ง MIC (Minimum Inhibitory Concentration) และ MBC (Minimum Bactericidal Concentration) ของยาปฏิชีวนะนั้น ๆ กับเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำการทดสอบ หลักการโดยทั่วไปของวิธีนี้คือ เลี้ยงเชื้อที่ต้องการทดสอบในอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเหลวซึ่งมียาปฏิชีวนะในปริมาณต่าง ๆ กันผสมอยู่ และสังเกตการเจริญเติบโตของเชื้อในอาหารที่เลี้ยงเชื้อซึ่งมียาปฏิชีวนะในปริมาณต่าง ๆ กัน การทดสอบหาความไวของเชื้อจุลินทรีย์ต่อยาปฏิชีวนะโดยวิธี broth dilution method นี้สามารถทำได้ทั้ง macro broth dilution method และ micro broth dilution method ตรวจผลโดยดูการเจริญของเชื้อ ค่าความเข้มข้นของยาปฏิชีวยะที่เชื้อไม่เจริญถือว่าเป็นค่าความเข้มข้นต่ำสุดในการยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ MIC (Minimum Inhibitory Concentration) การหาค่า MBC ทำได้โดยนำ broth จากหลอดที่ดูแล้วว่าไม่มีการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ มาเลี้ยงในอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดแข็ง ตรวจผลดูการเจริญเติบโตของเชื้อ ค่าความเข้มข้นที่น้อยที่สุดของยาปฏิชีวนะซึ่งสามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ให้ลดลงไม่น้อยกว่า 99.9% ถือว่าเป็นค่าความเข้มข้นต่ำสุดในการทำลายเชื้อจุลินทรีย์ (MBC) (ฉัตรไชย, 2523Agar dilution method
            เป็นวิธีมาตรฐานในการทดสอบความไวของเชื้อแบบปริมาณวิเคราะห์โดยมีหลักการทดสอบคล้ายคลึงกับ Broth dilution method ต่างกันเพียงชนิดของอาหารเลี้ยงเชื้อเท่านั้น การทดสอบโดยการเจือจางสารทดสอบในอาหารวุ้น และถ่ายเชื้อลงบนผิวของอาหารวุ้น เป็นวิธีที่เหมาะสมกับการทดลองเชื้อจำนวนมาก ข้อดีของวิธีนี้คือ สามารถทำการทดสอบเชื้อหลายชนิดบนอาหารจานเดียวกันได้ วิธีนี้สามารถหาค่า MIC ได้ แต่ไม่สามารถหาค่า MBC ได้ ตรวจผลโดยดูการเจริญของเชื้อ ค่าความเข้มข้นของสารที่เชื้อไม่เจริญถือว่าเป็นค่าความเข้มข้นต่ำสุดในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ MIC (Minimum Inhibitory Concentration)
2.  Diffusion Test
            วิธีที่ใช้แพร่หลายมากที่สุดคือ Disc diffusion method (Kirby-Bauer) เนื่องจากสะดวก ประหยัดและใช้เวลาน้อยกว่าวิธีอื่น ๆ วิธีนี้เป็นการทดสอบในเชิงคุณภาพ สามารถบอกผลได้ว่า เชื้อมีความไวต่อการทดสอบหรือไม่ ไม่อาจทราบาค่า MIC หรือ MBC ได้ ไม่เหมาะในการทดสอบเชื้อที่เจริญช้าและเชื้อแอนแอโรบ(anaerobe) หลักการทั่วไปคือ การทำให้ยาปฏิชีวนะบนแผ่น disc ซึมไปในอาหารเลี้ยงเชื้อที่ได้กระจายเชื้อในจำนวนที่เหมาะสมไว้ แล้วนำไปเพาะเลี้ยงให้เชื้อเจริญเติบโต อ่านผลการทดสอบโดยการวัดขนาดของ zone of inhibition ซึ่งจะเห็นเป็นวงใสรอบแผ่น disc ขนาดของ zone of inhibition นอกจากจะขึ้นอยู่กับความไวของเชื้อต่อสารแล้วยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดโมเลกุลของยาปฏิชีวนะ ปริมาณอัตราการเจริญของเชื้อ ภาวะความเป็นกรดด่าง และส่วนประกอบของอาหารเลี้ยงเชื้อ ตลอดจนระยะเวลาในการเพาะเชื้อ (จันทร์เพ็ญ และคณะ, 2526)
                จากการทดสอบฤทธิ์ใในการยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ของสารสกัดจากเปลือกมังคุด พบว่า สารสกัดจากเปลือกมังคุดสดโดยวิธีการสกัดเย็นด้วยเอทานอลมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญของเชื้อ Staphylococcus aureus , Staphylococcus epidermidis , Propionibacterium acnes ได้ดี จาการทดสอบหาความเข้มข้นต่ำสุดของสารสกัดจากเปลือกมังคุดโดยวิธีการสกัดเย็นด้วยเอทานอลในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ พบว่า ค่าความเข้มข้นต่ำสุดของสารสกัดจากเปลือกมังคุดในการยับยั้งการเจริญของเชื้อ S. aureus P. acnes. และ S. epidermidis คือ 128, 256, และ 4096 ไมโครกรัม/มิลลิตร ตามลำดับ
                สรุปง่าย ๆ ว่า สารสกัดจากเปลือกมังคุดสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ S. aureus ได้แต่ต้องใช้ในปริมาณอย่างน้อย 128 ไมโครกรัม/มิลลิตร ส่วนเชื้อ P. acnes ต้องใช้ในปริมาณ 256 ไมโครกรัม/มิลลิตร และเชื้อ S.epidermidis ต้องใช้ในปริมาณ 4096 ไมโครกรัม/มิลลิตร และสารสกัดที่ได้จากผลสดจะมีปริมาณของสารสำคัญมากกว่าผลแห้ง
                การทดสอบครั้งนี้นำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เจลแต้มสิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเปลือกมังคุด  ซึ่งเป็นสารจากธรรมชาติ มีความปลอดภัยต่อผิวพรรณของผู้บริโภคสูง เพราะไม่ทำให้เกิดการแพ้ นอกจากนี้สารสกัดจากเปลือกมังคุดก็เป็นสารที่สลายตัวได้เร็ว ไม่มีฤทธิ์ตกค้าง ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงแต่อย่างใด แลังยังมีราคาถูก ที่สำคัญคือ สามารถลดปริมาณของเสียจากเปลือกผลไม้ได้ในระดับหนึ่ง แถมยังเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับมังคุดได้อีกทางหนึ่งด้วย ต่อไปนี้ใครที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์สบู่จากเปลือกมังคุด ก็อาจได้ทดลองใช้เจลแต้มสิวที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากเปลือกมังคุด แตะแต้มใบหน้าให้ไร้ริ้วรอยสิวสาว และขาวผ่องไร้ร่องรอยจุดด่างดำ อวดใครต่อใครได้อย่างภาคภูมิใจ
 โครงเรื่อง แหล่งที่มานิตยสาร HERB for HELATH MAGAZINE ปีที่ 7 ฉบับที่ 73 ประจำเดือนมกราคม 2550 High Light โดย: วลี ลือประเสริฐ
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต http://www.ekanake.net/images/story/fruit01.jpg