เรื่องจากจริงไม่ได้โม้ กลิ่นสำคัญมากๆและเป็นสิ่งที่ให้ความทรงจำของเราฝังลึกในสมอง จนไม่อาจลืมเลือนไปได้ ฉะนั้นสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นการจุดประกายให้กับผู้ป่วยที่มีบาดแผลแสนเจ็บปวดทางด้านจิตใจ และหาวิธีที่จะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี กลิ่นนั้นใครคิดว่าไม่สำคัญ เพราะนักวิจัยเชื่อว่าได้ค้นพบว่ากลิ่นจากอดีตสร้างรอยประทับเนิ่นนานในความทรงจำได้อย่างไร โดยจากการสแกนสมอง พบว่า "ความทรงจำจากกลิ่น" ใหม่ๆเช่น กลิ่นน้ำหอมบางกลิ่นที่ทำให้นึกถึงใครบางคน "ฝังลึก" ในสมองคนเราจริงๆ และ "ลายเซ็น" ของความทรงจำจากกลิ่นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากความทรงจำประเภทอื่นๆ ก็อย่างที่รู้กันมานานแล้วว่า กลิ่นเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการฟื้นอดีต การศึกษาหลายฉบับก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าความทรงจำที่ถูกเรียกคืนโดยกลิ่นมีชีวิตชีวาและความรู้สึกมากกว่าความทรงจำที่ถูกปลุกเร้าโดยเสียง ภาพ หรือคำพูด ด้วยเหตุนี้ นักวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์เวซแมนน์ในอิสราเอลเสริมว่า กลิ่นไม่พึงใจสร้างความประทับใจแรกได้มากที่สุด ซึ่งอาจสืบเนื่องจากกลไกทางวิวัฒนาการในการป้องกันตนเอง เนื่องจากบรรพบุรุษของมนุษย์ต้องอาศัยจมูกเพื่อหลีกเลี่ยงต้นไม้มีพิษ อาหารบูดเน่า หรือศัตรูมากกว่าคนยุคปัจจุบัน กลิ่นหอมฝังใจฝังลึกในสมองเช่นกัน โดย ยารา เยชูรัน แกนนำการวิจัยที่เผยแพร่อยู่ในวารสารเคอร์เรนต์ ไบโอโลจี้ กล่าวว่า "เราพบว่าการจับคู่หรือความเชื่อมโยงแรกระหว่างวัตถุกับกลิ่นมี "ลายเซ็น" ความทรงจำที่ชัดเจนในสมอง ไม่ว่าจะในเด็กหรือผู้ใหญ่" ยารา เยชูรัน แกนนำการวิจัยที่เผยแพร่อยู่ในวารสารเคอร์เรนต์ ไบโอโลจี้ กล่าวและเสริมว่า "กลิ่นเหม็นและกลิ่นหอมมีรอยสลักในความทรงจำของกลิ่นแรกในสมองเหมือนกัน ซึ่งหมายถึงเอกลักษณ์ของกลิ่นนั้นๆ" เพื่อทดสอบความจำที่เกี่ยวข้องกับกลิ่น นักวิจัยนำสิ่งของต่างๆ มาให้อาสาสมัคร 16 คนดู พร้อมกับให้ดมกลิ่นที่มีทั้งน่าชื่นใจและไม่น่าดม เช่น กลิ่นลูกแพร์หรือปลาเน่า90 นาทีต่อมา อาสาสมัครได้ดูรูปเดิมแต่เปลี่ยนกลิ่น หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป นักวิจัยต้องการทดสอบว่าความเชื่อมโยงใดที่อาสาสมัครจำได้มากที่สุด โดยการให้อาสาสมัครดมกลิ่นที่ดมครั้งแรก โดยในการทดสอบทั้งหมด นักวิจัยใช้เครื่อง MRI สแกนสมองอาสาสมัครไปด้วย งานนี้นักวิจัยเชื่อว่าจำเป็นต้องทำการทดลองเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี เชื่อว่าการค้นพบนี้จะนำไปสู่วิธีการฟื้นความทรงจำที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หรือกระทั่งการลบความทรงจำเลวร้ายของผู้ป่วย http://www.siamdara.com |
