คู่ที่ 2 … iPhone 5 ปะทะ Samsung Galaxy Note II



ผมเพิ่งได้ iPhone 5 มาหมาดๆ (หลังจากก่อนหน้านี้ได้รีวิวไปแล้วอ่ะนะ) และก่อนหน้านี้ผมก็รีวิวเปรียบเทียบ iPhone 5 กับ Samsung Galaxy SIII ไปแล้วด้วย แต่ก็ยังมีคนถามผมต่อว่า แล้วถ้าเทียบกับ Samsung Galaxy Note II ล่ะ จะเป็นยังไงบ้าง … เมื่อมีคนขอมา ทำไมจะไม่ตอบสนองล่ะครับ ดังนั้นจะมัวช้าอยู่ไย ก็รีบไปหยิบมาเทียบกัน แล้วก็เอามารีวิวเปรียบเทียบกันแบบจุดต่อจุด แบบเดียวกับที่ผมได้ทำกับ Samsung Galaxy SIII ซะเลย ดังนั้น ถ้าจะอ่านบล็อกตอนนี้ ขอให้ทำใจเอาไว้ก่อนว่า มันยาวเอาเรื่องนะครับ

ก่อนอื่น ต้องเริ่มที่สเปกของทั้ง 2 รุ่นเทียบกันดูก่อนครับ

เผื่อใครไม่อยากอ่านยาวๆ … ผมสรุปให้ในย่อหน้าแรกนี่ก่อน … สเปกของ Samsung Galaxy Note II นั้น เหนือกว่า iPhone 5 ในแง่ของตัวเลขแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น CPU, RAM, การรองรับ MicroSD Card และกล้องด้านหน้า
แต่ต้องขอออกตัวล้อฟรีสุดๆ ก่อนว่า สเปกอย่างเดียวมันไม่ใช่ทั้งหมดสำหรับประสบการณ์ในการใช้งานนะครับ พูดง่ายๆ Don’t judge the book by its cover นั่นเอง และโดยส่วนตัวของผม ผมมองว่าแต่ละตัวก็เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละแบบแตกต่างกันไปครับ

สเปกiPhone 5Samsung Galaxy Note II
CPUA6 Dual-core 1.3GHz
(Geekbench อัพเดตซอฟต์แวร์แล้วพบว่าความเร็วของ CPU จริงๆ คือ 1.3GHz ไม่ใช่ 1.02GHz)
Exynos 4412 Quad-core 1.6GHz
 GPUน่าจะเป็น
3-core PowerVR SGX543MP3
Mali-400MP
 Display4.0″ Retina Display
1136×640  พิกเซล (326ppi)
 5.5″ HD Super AMOLED
1280×720 พิกเซล
(267 ppi)
 Multitouch11 จุด10 จุด
 RAM1GB2GB
Internal Storage16GB/32GB/64GB16GB
External Storageไม่รองรับMicroSD สูงสุด 64GB
2GModel A1428
GSM/EDGE
(850/900/1900/2100MHz)
Model A1429 CDMA
CDMA EV-DO Rev. A/Rev B.
(800/900/1900/2100MHz)
GSM/EDGE
(850/900/1800/1900MHz)
Model A1429 GSM
GSM/EDGE
(850/900/1800/1900MHz)
GPRS/EDGE
850/900/1800/1900MHz
 3GModel A1428
UMTS/HSPA+/DC-HSPA
(850/900/1900/2100MHz)
Model A1429 CDMA
CDMA EV-DO Rev. A/Rev B.
(800/1900/2100MHz)
UMTS/HSPA+/DC-HSPA
(850/900/1900/2100MHz)
Model A1429 GSM
UMTS/HSPA+/DC-HSPA
(850/900/1900/2100MHz)
HSPA
850/900/1900/2100MHz
4GModel A1428
LTE (Bands 4 and 17)
Model A1429 CDMA
LTE (Bands 1, 3, 5, 13, 25)
Model A1429 GSM
LTE (Bands 1, 3, 5)
 ไม่รองรับ
WiFi802.11a/b/g/n
Dual-band
802.11a/b/g/n
Dual-band
Bluetooth4.0 A2DP4.0 A2DP
กล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล
วิดีโอ HD720p
  1.9 ล้านพิกเซล
วิดีโอ HD720p
กล้องหลัง8 ล้านพิกเซล iSight
f2.4 aparture
พร้อม Flash
วิดีโอ 1080p 30fps
8 ล้านพิกเซล
f2.6 aparture
พร้อม Flash
วิดีโอ 1080p 30fps
คุณสมบัติกล้อง Auto Focus
Tap to Focus/Exposure
Backside Illuminator
Face Detection
Panorama (iOS6)
 Auto Focus
Tap to Focus
Backside Illuminator
Face/Smile Detection
Panorama
Burst Shot
Face Tagging
Buddy Share
Scene Mode
Shooting Mode
ระบบปฏิบัติการมาพร้อมกับ iOS6Android 4.1 Jelly Bean
สัดส่วน123.8 x 58.6 x 7.6 mm 151.1 x 80.5 x 9.4 mm
น้ำหนัก112 กรัม183 กรัม
Voice CommandSiriS Voice
Cloud StorageiCloudDropbox
Maps Apple Maps by TomTom Google Maps
SIM CardNano SIMMicro SIM
Data CableLightning 8-pinStandard Micro USB
Social MediaTwitter Integration
Facebook Integration
ด้วยคุณสมบัติของ Android จึงสามารถแชร์ไปยัง Social Media App ที่ติดตั้งไว้ได้หมด
แบตเตอรี่1,434mAh3,100mAh
คุยสายต่อเนื่อง8 ชั่วโมง (2G/3G)21 ชั่วโมง 40 นาที (2G)
11 ชั่วโมง 40 นาที (3G)
สแตนด์บาย225 ชั่วโมง590 ชั่วโมง
ราคา16GB 22,900 บาท
(บน Apple Online Store)
16GB 22,900 บาท

อยากฟันธงว่าสุดท้าย คุณควรจะเลือกตัวไหน อ่านต่อไป …

รูปร่าง การออกแบบ ปัจจัยแรกที่หลายๆ คนใช้ตัดสินใจ

ผู้ใช้งานจำนวนไม่น้อย มองเรื่องของขนาดรูปร่างเป็นสำคัญแล้วนะครับ บางคนชอบแบบพอดีๆ มือ ใช้มือเดียวถนัดๆ น้ำหนักเบาๆ (พวกนี้ก็ไป iPhone 5) ส่วนบางคน (รวมถึงผม) ก็ชอบแบบจอใหญ่ๆ เห็นอะไรๆ เต็มตาดี พวกนี้ถ้าไม่ไปใช้ Android Smartphone ที่จอ 4.5 นิ้วขึ้นไป ก็จะเลือก Samsung Galaxy Note (I หรือ II) ไปเลย (ผมเคยเห็นคนใช้ Samsung Galaxy Tab 7.7 เป็นโทรศัพท์!!)
ใช่แล้ว ถ้าคุณมองแค่เรื่องของขนาดของตัวเครื่องเป็นตัวตัดสินใจว่าจะเลือกอะไรละก็ … ตัดสินใจโคตรง่ายครับ เพราะมันคือคุณสมบัติที่ iPhone 5 กับ Samsung Galaxy Note II แตกต่างกันสุดขั้วสุดๆ

เปรียบเทียบขนาดของ iPhone 5 และ Samsung Galaxy Note II

แม้ว่า iPhone 5 จะมีการปรับขนาดหน้าจอมาเป็น 4 นิ้วแล้ว แต่ขนาดหน้าจอมันไม่ได้ใหญ่โตขึ้นนะครับ อย่าเข้าใจผิด เพราะ Apple เขายังต้องการให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้ด้วยมือข้างเดียวอยู่ เลยปรับอัตราส่วนการแสดงผล จาก 3:2 เป็น 16:9 แทนครับ ดังนั้นอะไรๆ ไม่ได้ใหญ่โตขึ้น แต่หน้าจอมันยาวขึ้นเฉยๆ

เทียบ iPhone 5 กับ Samsung Galaxy Note II จะเห็นได้เลยว่า Galaxy Note II ใช้มือเดียวยากกว่า

ในขณะที่ Samsung Galaxy Note II นั้น แม้หน้าจอจะขนาด 5.5 นิ้วเหมือนเดิม แต่ Samsung เลือกที่จะลดความกว้างลงมาหน่อยนึง (หน่อยนึงจริงๆ แค่ 2.45 ม.ม.) และเพิ่มให้มันสูงขึ้นอีกหน่อย … มันให้ความรู้สึกว่าจับกระชับมือดีขึ้น แต่ยังคงใช้งานมือเดียวไม่สะดวกสำหรับหลายๆ คน (รวมถึงตัวผมเอง) เช่นเคย แนะนำว่าจะใช้งาน ก็ใช้สองมือดีกว่า
ผมไม่ขอไปร่ายยาวเรื่่องวัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่องระหว่าง iPhone 5 และ Samsung Galaxy Note II แล้ว เพราะมันก็เหมือนๆ กับตอนเปรียบเทียบ iPhone 5 กับ Samsung Galaxy SIII ที่ผมเคยรีวิวไปก่อนหน้าอยู่แล้ว
แต่ขอแอบพูดถึง Samsung Galaxy Note II ซักหน่อยแล้วกัน … โดยส่วนตัว ผมว่า Samsung พยายามทำให้ตระกูล Galaxy นี่มีลักษณะหน้าตาคล้ายๆ กันจริงๆ ตอนที่เป็น Galaxy Note ตัวแรก มันก็เหมือน Samsung Galaxy SII แล้วพอมาเป็น Samsung Galaxy Note II ก็มีหน้าตาละม้ายคล้าย Samsung Galaxy SIII อยู่หลายส่วน
ทั้ง 2 รุ่น ดีไซน์ออกมาได้ดี แต่ใครจะชอบตัวไหนอย่างไร ผมว่าเป็นเรื่องของนานาจิตตัง

จุดที่มองเรื่องที่ 2 เรื่องของหน้าจอแสดงผล เรื่องความคม iPhone 5 กินขาด เรื่องขนาดต้อง Samsung Galaxy Note II

ถ้าวัดกันที่จำนวนพิกเซลแล้ว iPhone 5 มี 1136 x 640 =  727,040 พิกเซล ส่วน Samsung Galaxy Note II มี 1280 x 720 = 921,600 พิกเซล … จำนวนพิกเซลของ Samsung Galaxy Note II มากกว่า ความคมชัดคงจะชนะ ถ้าเกิดมีขนาดหน้าจอเท่าๆ กัน … แต่มันไม่ใช่ยังงั้นอ่ะครับ
ความหนาแน่นของพิกเซล หรือ Pixel Density นั้น หมายถึงจำนวนจุดพิกเซลบนหน้าจอบนพื้นที่หนึ่ง (ในที่นี้หน่วยเป็นตารางนิ้ว) ซึ่ง iPhone 5 มี Pixel Density เป็น 326ppi ในขณะที่ Samsung Galaxy Note II มี 267ppi ดังนั้น
ซูมภาพกันเห็นๆ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าการแสดงผลตัวอักษรของ iPhone 5 นั้น เนียนเชียว ในขณะที่ Samsung Galaxy Note II นั้น เห็นเป็นหยักๆ อยู่บ้าง

บน iPhone 5 ล่าง Samsung Galaxy Note II

หมายเหตุก่อน … Noise บนภาพของ iPhone เนี่ย เพราะผมใช้ฟิล์มขุ่นอ่ะ เลยทำให้ถ่ายภาพออกมาแล้ว Noise กระจายเลย
ดังนั้น ถ้าใครเน้นเรื่องความคมชัดของการอ่าน และการแสดงผล iPhone 5 นี่กินขาดครับ … แต่ถ้าต้องการเรื่องขนาดของการแสดงผล ผมคิดว่าคงไม่ต้องรีวิวให้วุ่นวาย (รึเปล่า?!?) เพราะ Samsung Galaxy Note II นี่มันใหญ่กว่าจริงจังแบบเห็นได้ชัดอยู่แล้วอ้ะ
และเช่นเคยนะ หน้าจอของ iPhone 5 ที่เป็น LCD IPS กับ Samsung Galaxy Note II ที่เป็น HD Super AMOLED นั้น แล้วแต่คนชอบจริงๆ … งวดนี้ไม่อาจถ่ายภาพมาอวดได้ เพราะผมไปใส่เคสและติดฟิล์มให้ iPhone 5 ไปแล้ว ฟิล์มที่แถมมากะเคสดันเป็นแบบขุ่น เลยทำให้ภาพดูแย่กว่าปกติ
แต่ผมก็ยืนยันคำเดิม สีสันของจอ HD Super AMOLED ของ Samsung Galaxy Note II เนี่ยกินขาดจอ LCD IPS ครับ … แต่ต้องบอกก่อนว่า สีสันมันจัดจ้านจนเกินจริงไปหน่อย และติดฟ้ามากไปนิด บางคนเลยอาจจะชอบจอ LCD IPS มากกว่า

ประสิทธิภาพในการประมวลผล แบบวัดกันด้วยตัวเลข

Samsung Galaxy Note II เลือกใช้ Exynos 4412 Quad-core เหมือนกับ Samsung Galaxy SIII แต่ว่าเพิ่มความเร็วเป็น 1.6GHz ดังนั้น ผลการทดสอบก็น่าจะชัดเจนเลยว่า คะแนนมากกว่าแน่ๆ และที่ผมทดสอบด้วยโปรแกรม Geekbench เทียบ iPhone 5 กับ Samsung Galaxy SIII ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ครับ

ผลการทดสอบด้วย Geekbench

และเช่นเคย ต้องบอกก่อนว่า Samsung Galaxy Note II นี่เป็น Quad-core 1.6GHz นะครับ ในขณะที่ iPhone 5 เป็นแค่ Dual-core 1.3GHz เท่านั้น ดังนั้นการที่ผลออกมาแบบนี้มันก็ไม่แปลกครับ แต่ประเด็นจริงๆ มันต้องอยู่ที่การใช้งานมากกว่า ว่าใช้งานทั่วไปแล้วเป็นยังไงกันบ้าง

เนื้อที่เก็บข้อมูล … เช่นเคย iPhone 5 ชนะเรื่องตัวเลือก Internal Storage แต่ Samsung Galaxy Note II ชนะเรื่องความจุรวม
Internal Storage นี่สำคัญนะครับ App ที่ติดตั้งใน Internal Storage เนี่ย จะใช้ฟีเจอร์ต่างๆ ของการเชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์ได้มากสุด (App ของ Android ถ้าโดนย้ายไปอยู่ใน SD Card จะใช้คุณสมบัติบางอย่างไม่ได้ เช่น Notification อะไรแบบนี้) และพวก Internal Storage มักจะเร็วกว่าพวก SD Card ที่แถมมาให้ครับ ดังนั้นหากมีตัวเลือก Internal Storage ขนาดต่างๆ ก็ย่อมได้เปรียบ
และตรงนี้แหละ ทำให้ iPhone 5 ชนะ Samsung Galaxy Note II … แต่ก็สำหรับพวกผู้นิยมลง App เยอะๆ โดยเฉพาะเกม (ซึ่ง iOS ก็มีให้เลือกซะเยอะแยะ และแต่ละเกมก็ใหญ่ๆ ทั้งนั้น)
แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่เน้นลง App เยอะ ข้อได้เปรียบตรงนี้ของ iPhone 5 จะหายไป และกลายเป็น Samsung Galaxy Note II ที่ได้เปรียบ เพราะสามารถเพิ่ม MicroSD Card ได้สูงสุด 64GB ซึ่งทำให้มีเนื้อที่รวม 80GB ในทันที … มองในแง่ราคาต่อหน่วยความจุ Samsung Galaxy Note II ก็คุ้มกว่า เพราะ 64GB อย่างมากไม่เกิน 3 พันบาท แต่ iPhone 5 64GB นี่ต้องจ่ายเพิ่มจากรุ่น 16GB ร่วม 6-7 พันบาท (แต่แน่นอน ประสิทธิภาพของการเขียนอ่านข้อมูล Internal Storage ก็ดีกว่านะ)
ใครที่เน้นดูหนัง ฟังเพลง การจะดูหรือฟังจากพวก MicroSD Card ก็ไม่ได้ทำให้เสียอรรถรสแต่ประการใดครับ

การเชื่อมต่อ Mobile Internet: ถ้าไปต่างประเทศที่มี 4G LTE ละก็ iPhone 5 อาจจะได้เปรียบกว่า แต่ถ้าเอาแค่ในไทย ถือว่าเสมอกัน

iPhone 4S แล้ว ที่เขาเรียกว่าเป็น World Phone คือ สามารถใช้กับเครือข่ายได้ทุกแห่งในโลก รองรับทั้ง GSM และ CDMA แต่ดูเหมือน iPhone 5 จะลำบากหน่อย เพราะพวก 4G LTE ในแต่ละประเทศมันหลากมาตรฐานซะเหลือเกิน แต่โดยหลักๆ แล้ว ก็รองรับหลากหลายอยู่ครับ ดังนั้น ใครที่ไปต่างประเทศบ่อยๆ แล้วประเทศนั้นๆ มี 4G LTE ก็มีลุ้นว่าจะได้ใช้ 4G หากเราเลือก iPhone 5
แต่ถ้าเป็น Samsung Galaxy Note II นั้น อดใช้ 4G ครับ … แต่ถ้าเราไม่กะว่าจะต้องไปใช้งานในต่างประเทศ ทั้ง 2 รุ่น รองรับเครือข่ายในบ้านเราทุกย่านความถี่อยู่แล้ว ทั้ง 2G และ 3G ครับ

เรื่องของการใช้งานกันบ้าน … ลองเล่า และ เทียบ (ถ้าทำได้) ระหว่าง iPhone 5 และ Samsung Galaxy Note II

อันดับแรก ต้องพูดถึงการพิมพ์ภาษาไทยก่อน … ย้ำอีกครั้ง iPhone 5 คีย์บอร์ด 4 แถวพิมพ์ไทยยากมาก พิมพ์ผิดบ่อยมาก เพราะตัวอักษรไทยเราเยอะ (พยัญชนะ 44 ตัว สระอีก 32 ไหนจะวรรณยุกต์อีก) บางคนบ่นว่าคีย์บอร์ด 3 แถวแบบเดิมมันไม่ใช่ Layout ที่คุ้นเคย แต่พอมาเจอ Layout คุ้นเคยแต่แป้นแต่ละตัวผอมลีบแบบนี้ ก็บ่นอุบอยู่ … แต่เอาน่า ใช้ๆ ไป ก็อาจจะชินก็ได้ (แต่ผมใช้มาพักใหญ่แล้ว … ไม่ชินอ่ะ)

คีย์บอร์ด 4 แถวของ iPhone 5

ส่วน Samsung นั้น เมื่อก่อนเขาใช้คีย์บอร์ดที่มี Layout สำหรับพวกสมาร์ทโฟนจอเล็กมาใช้ เลยทำให้แป้นใหญ่ก็จริง แต่ต้องกดตั้งหลายทีกว่าจะได้ตัวอักษรมาซักตัว (มาแทนเดียวกับ BlackBerry) แต่ใน Samsung Galaxy Note II นี้มีการปรับปรุงแล้ว ได้แป้นเป็น Layout ที่คุ้นเคยแล้ว

คีย์บอร์ดของ Samsung Galaxy Note II

แต่ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ 5.5 นิ้ว ทาง Samsung เขาเลยคิดเผื่อว่า คนใช้มือเดียวอาจจะพิมพ์ไม่ถนัด อย่างกระนั้นเลย ทำ Layout สำหรับพิมพ์มือเดียวด้วยดีกว่า ซึ่งก็คือ การบีบขนาดของคีย์บอร์ดให้เล็กลง เพื่อให้พิมพ์มือเดียวสะดวกๆ นั่นแหละ

One-hand Operation Keyboard ของ Samsung Galaxy Note II

อยากบอกว่าแนวคิดดีนะ แป้นก็ครบถ้วนดีด้วย แต่โดยความเห็นส่วนตัว ผมใช้แล้วไม่ถนัดมือ มันออกอาการคล้ายๆ คีย์บอร์ด 4 แถวของ iPhone 5 นั่นแหละ พอแป้นมันเล็กเกินไป ก็พิมพ์ลำบาก … ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมเป็นคนมือใหญ่ นิ้วอวบอ้วน?!? คนมือเล็ก นิ้วเล็ก อาจจะพิมพ์ถนัดกว่าผม?!?
แต่ถึงจะไม่ถนัดคีย์บอร์ดของ Samsung ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะระบบปฏิบัติการ Android เขายอมให้เราดาวน์โหลดคีย์บอร์ดมาติดตั้งเอาเองได้ ก็แค่เลือกที่ชอบมาก็พอ (โดยส่วนตัว ผมชอบ Keyboard ManMan ครับ)

ในการท่องเว็บล่ะ อันไหนท่องเว็บสบายใจกว่ากัน?!?

เรื่องท่องเว็บ บอกตรงๆ จอใหญ่ควรจะได้เปรียบ เพราะอะไรๆ มันก็ดูใหญ่ เต็มตากว่า … แต่ผมก็ยังคอนเฟิร์มว่า เหมือนกับตอนเป็น Sasmung Galaxy SIII นั่นแหละ ว่า Samsung เลือกใช้ฟ้อนต์ผิดมากๆ ในเบราว์เซอร์มาตรฐานของ Samsung ตัวอักษรเล็กกระจึ๋งมาก ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากหน้าจอขนาดใหญ่ 5.5 นิ้วเลย และหากไปปรับขนาดของฟ้อนต์ Layout ของเว็บก็เละอีก
ในทางกลับกัน iPhone 5 เลือกใช้ฟ้อนต์ตัวใหญ่กว่า … ถามว่า ถ้าคนสายตาไม่ค่อยดีเท่าไหร่อ่าน จะอ่านออกไหม? ผมคงตอบว่าไม่ แต่อย่างน้อย ถ้าเปิดเว็บขึ้นมาเทียบกันระหว่าง iPhone 5 กับ Samsung Galaxy Note II แล้ว ผมว่าข้อความบนเว็บออก หากเป็น iPhone 5
ข่าวดี … ถ้าคุณเลือกดาวน์โหลด Google Chrome บน Android มาใช้แทนเบราว์เซอร์มาตรฐานของ Samsung Galaxy Note II ละก็ ฟ้อนต์ที่ใช้บน Google Chrome มันใหญ่กว่าเยอะ และดูใหญ่ อ่านง่ายกว่าของ iPhone 5 อีก
แต่ถ้าเปลี่ยนไปใช้ Google Chrome ก็จะขาดฟีเจอร์ที่เรียกว่า Reader Mode ไป … ซึ่งตรงนี้เป็นฟีเจอร์ที่ Safari บน iPhone มี และทำได้ดีด้วย

Reader Mode บน Safari for iOS

Reader Mode คือ การแปลงหน้าเว็บให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะกับการอ่านบนสมาร์ทโฟน หรือ แท็บเล็ต กล่าวคือ Render หน้าเว็บซะใหม่ ให้สามารถอ่านได้ โดยไม่ต้องไปซูมเข้าซูมออกให้วุ่นวายนั่นเอง
ตรงนี้ iPhone 5 (จริงๆ คือ Safari for iOS) ทำได้ดีก็คือ มันย่อแม้กระทั่งรูปภาพในเว็บ เพื่อให้พอดีกับขนาดความกว้างของหน้าจอจริงๆ
ใน Samsung Galaxy Note II ถ้าเราใช้เบราว์เซอร์มาตรฐานของ Samsung มันจะมี Reader Mode มาให้ด้วยนะเออ … และทำได้ค่อนข้างดีทีเดียวเลย คือ หน้าเว็บถูก Render ใหม่ให้มีขนาดฟ้อนต์เหมาะสมสำหรับการอ่าน และปรับขนาดตัวอักษรได้อีก (iPhone 5 ก็ทำได้นะ)

Reader Mode ของ Samsung Galaxy Note II

แต่ Samsung มาพลาดท่าไปนิดเดียวตรงที่ ใน Reader Mode มันดันไม่ย่อขนาดรูป เพื่อจะได้แสดงผลรูปได้เต็มๆ ในหน้าจอนี่แหละ … แต่นอกนั้นแล้วก็ถือว่าทำได้ดี
และปิดท้าย การดูเว็บที่มี Flash Animation ก็ไม่ใช่เรื่องที่ได้เปรียบของระบบปฏิบัติการ Android อีกต่อไป (ขอย้ำอีกหน)

การใช้งาน Social Media ต่างๆ ล่ะ?!?

ถ้า Social Media คือการแชร์ ตอนนี้ Apple ก็ถือว่าทำได้ดีขึ้นมากแล้ว กับระบบปฏิบัติการ iOS6 เพราะสามารถเชื่อมต่อกับ Twitter และ Facebook ได้ จากนั้นก็สามารถแชร์นู่นนี่ไปยัง Social Media ทั้ง 2 นี้ได้สบายๆ … และโดยความเห็นส่วนตัว การที่การแชร์พวกนี้ มันถูกฝังไปในระบบปฏิบัติการเลย ก็ทำให้อะไรๆ มันทำงานได้รวดเร็วครับ อันนี้ผมชอบมาก

การแชร์บน iPhone 5

แต่ระบบปฏิบัติการ Android นั้นมันไม่ได้จำกัดแค่ว่าคุณจะแชร์ผ่าน Twitter หรือ Facebook แต่คุณจะแชร์ผ่านอะไรก็ได้ จะเป็น SMS, Email, Twitter, Facebook, Dropbox ฯลฯ มันทำได้หมด เพราะ Android ไม่ได้ห้ามเรื่องการทำงานข้ามกันระหว่าง App (แต่ Apple ไม่ยอม) ดังนั้นเลยเลือกได้ว่าจะแชร์ด้วย App อะไร … แต่แน่นอน เมื่อมันเป็นการส่งข้อมูลไปยัง App ตัวอื่น ดังนั้นความเร็วในการใช้งานก็จะแตกต่างกันไป


การแชร์บน Samsung Galaxy Note II

การดูหนังฟังเพลง … Samsung Galaxy Note II ยังคงชนะเพราะหน้าจอใหญ่ได้เปรียบ แต่ iPhone 5 ก็ยังชนะเรื่องลำโพงเสียงมีมิติกว่า

บางคนบ่นเรื่องความยุ่งยากในการโยนไฟล์หนังหรือเพลงเข้าไปใน iPhone 5 เพราะต้องผ่านทาง iTunes สถานเดียว แต่บางคนที่ใช้ iTunes คล่องๆ ก็ชมเปาะว่า นี่คือวิธีการที่เจ๋งเป้ง และสะดวกมาก เพราะว่าผู้ใช้งานสามารถบริหารจัดการไฟล์หนังได้ผ่านทาง iTunes (ผมเองก็คิดแบบนั้น) … ในขณะที่ คนใช้ Android ชิลกว่า เพราะเชื่อมต่อแบบ USB Mass Storage หรือ MTP (Media Transfer Protocol) แล้วโยนไฟล์หนังเข้าในเครื่องได้เหมือน Copy ไฟล์เข้าฮาร์ดดิสก์เลย
ของแบบนี้นานาจิตตังครับ … แต่ถ้ามองเรื่องการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ละก็ iPhone 5 จะน่ารำคาญตรงที่ใช้สายเคเบิ้ลแบบหัวต่อเฉพาะของมันเอง ในขณะที่ Samsung Galaxy Note II นั้นใช้แบบ Micro USB ที่เป็นมาตรฐานของพวกอุปกรณ์พกพาส่วนใหญ่ ดังนั้นในแง่ของการย้ายไปใช้อุปกรณ์อื่น Samsung Galaxy Note II จะทำได้ง่ายกว่า
ขนาดหน้าจอได้เปรียบจริงๆ ดูจากการเปรียบเทียบในรูปด้านล่างได้ครับ (เนื่องจากภาพเป็นแบบ 16:10 ก็เลยทำให้เห็นแถบดำด้านบนและด้านล่าง … หากเป็นหนังแบบ 16:9 นั้นจะไม่เห็นนะครับ)

ดูหนังบน Samsung Galaxy Note II เทียบ iPhone 5

ถ้าใครมีทีวีที่รองรับ dlna ละก็ ทั้ง iPhone 5 (ต้องติดตั้ง App เสริม) และ Samsung Galaxy Note II ต่างก็สามารถเชื่อมต่อเพื่อสตรีมมิ่งภาพไปที่ทีวีได้ครับ ปัญหาเรื่องจอเล็กก็จะหมดไป
ในแง่คุณภาพเสียงนั้น iPhone 5 ก็อย่างที่ผมเคยรีวิวไว้ คือ เปิดเสียงดังๆ แล้วฟังไม่สบายหู ระดับเสียงที่ 80% จะเป็นอะไรที่สบายหูสุดแล้ว ลำโพงของ iPhone 5 จะให้เสียงที่หนา และหนักแน่น ในขณะที่ Samsung Galaxy Note II นั้นเสียงจะเน้นความใส แต่แหลมจนหากเปิดดังเต็มที่อาจบาดหูได้ ระดับเสียงที่เหมาะที่สุด ก็คือ 80% อีกเช่นกัน แต่มิติของเสียงสู้ลำโพงของ iPhone 5 ไม่ได้

เรื่องการเล่นเกม Samsung Galaxy Note II ก็ยังได้เปรียบเพราะจอใหญ่กว่า แต่ตัวเลือกและกราฟิกของเกม iPhone 5 ยังเหนือกว่า

โดยความเห็นและความชอบส่วนตัว หน้าจอขนาดที่เหมาะกับการเล่นเกมที่สุด คือขนาด 5-6 นิ้วนี่แหละครับ ดังนั้น ขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้วของ Samsung Galaxy Note II จึงเหมาะสมมากๆ ทั้งขนาดที่เต็มตา ในขณะที่ไม่ใหญ่จนมือของเราควบคุมเกมไม่ได้
iPhone 5 นั้นขนาดหน้าจอไม่ใหญ่มาก มือของเราจะไม่มีปัญหาในการเอื้อมไปควบคุมเกม แต่ปัญหาคือ หน้าจอแสดงผลพื้นที่จำกัดมากมาย จนเกมบางเกมที่มี Virtual Controller จะเต็มจอ จนนิ้วมือเรานี่แหละ ที่จะไปบังจอ
และเช่นเคย iPhone 5 ยังได้เปรียบในแง่ของกราฟิก 3D และ Effect ต่างๆ เพราะ GPU รองรับมากกว่า … เกมอย่าง Infinity Blade, Horn, Wild Blood ที่ใช้ Unreal Engine นั้น มีให้เล่นบน iPhone 5 แต่ว่าไม่มีให้เล่นบน Samsung Galaxy Note II ครับ

ขอเอารูปเก่ามาฉายซ้ำ เกม Wild Blood บน iPhone 5

อีกประเด็นที่สำคัญคือ การที่ Android มีจำนวนมากเกินไป ความหลากหลายทางฮาร์ดแวร์มีสูง ผลก็คือการออกแบบเกมทำได้ยาก พอจะทำให้รองรับฮาร์ดแวร์หลากหลาย ก็ต้องแลกด้วยการที่เกมอาจไม่สามารถดึงศักยภาพของฮาร์ดแวร์มาได้อย่างเต็มที่
ไม่ต้องดูไกล เกม Asphalt 7: Heat ที่ผมชอบใช้ในการรีวิวนี่แหละครับ … ทั้ง iPhone 5 และ Samsung Galaxy Note II ต่างก็ให้ 3D Effect พอๆ กัน แม้กระทั่งเงาที่สะท้อนบนตัวรถที่สมจริง แต่ปัญหาที่ผมเจอก็คือ ในบางฉาก เช่น Shanghai เนี่ย บน iPhone 5 กราฟิกเนียนและลื่นไหลมากทีเดียว แต่พอมาเล่นบน Samsung Galaxy Note II นั้น กราฟิกกระตุกได้ชัดเจนเลยทีเดียว

Asphalt 7: Heat บน iPhone 5
Asphalt 7: Heat บน Samsung Galaxy Note II

ณ ตอนนี้ ตัวเลือกของเกมบน iPhone 5 ยังคงมีมากกว่า Android ครับ … ถ้านับเฉพาะค่ายเกมที่ทำเกมบนอุปกรณ์พกพา จะเห็นว่าเกมใหม่ๆ นั้น ออกมาทั้งเวอร์ชัน iOS และ Android (เช่น เกมจากค่าย Gameloft, EA, Zynga อะไรพวกนี้) แต่ถ้านับค่ายใหญ่ๆ ด้วย จะเห็นว่าค่ายอย่าง Square Enix นี่ก็ยังไม่ได้ลงมาเต็มตัวเท่าไหร่ (มี Final Fantasy และเกมบางเกม แต่เกมอย่าง Chaos Rings หรือ Drakerider ยังไม่มีเวอร์ชัน Android) และ Capcom เองก็มีแต่ข่าวว่าจะลงมาทำเกมบน Android (เช่น Street Fighter) แต่ก็ไม่มาซะที
แนวโน้มของเกมบน Android ดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ ส่วนหนึ่งเพราะว่ายอดขายของ Android เยอะขึ้นมาก ล่าสุด IDC เผยว่าไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ยอดขายของ Android Smartphone คิดเป็น 75% ของสมาร์ทโฟนทั้งหมดที่ขาย (iOS อยู่ที่ 14.9%) เลยน่าจะทำให้ค่ายเกมต่างๆ หันมามอง Android มากขึ้น (หวังว่านะ) แต่คาดว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกซักปีล่ะครับ

S Pen … จุดขายของ Samsung Galaxy Note II

จุดนึงที่เป็นจุดขายของ Samsung Galaxy Note II ที่ชัดเจน และ iPhone 5 เทียบไม่ได้ คือการมี Stylus  ที่เรียกว่า S Pen ซึ่งทำได้ดีขึ้นกว่าสมัยเป็น Samsung Galaxy Note ตัวแรกมากมาย ซึ่งคราวนี้ การตอบสนองต่อการขีดๆ เขียนๆ ของ S Pen นั้น ทำได้ดีเกือบจะเทียบเท่าปากกาจริงๆ แล้ว
ถ้าใครคิดว่าจะใช้สมาร์ทโฟนเป็นสมุดจดโน้ตด้วยลายมือตัวเองแบบจริงจัง ผมว่า Samsung Galaxy Note II คือคำตอบมากที่สุดแล้ว … และแม้จะเป็นโปรแกรมวาดรูปแบบเดียวกัน (เช่น Sketch Book) เนี่ย การใช้งานแบบใช้นิ้ววาด กับใช้ S Pen วาด ให้ประสบการณ์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยนะครับ

วาดรูปด้วย Sketch Book บน Samsung Galaxy Note II
วาดรูปด้วย Sketch Book บน iPhone 5

การใช้นิ้วมือในการวาดรูป สำหรับคนที่เก่งๆ อาจจะไม่เป็นปัญหา แต่สำหรับมือใหม่ (แบบผม) มันคือประสบการณ์ที่เลวร้ายทีเดียว และแม้ว่าผมจะลองใช้ Capacitive Stylus อย่าง adonit Jot Pro บน iPhone 5 ก็ตาม แต่ด้วยหน้าจอที่ขนาดเล็ก ก็เลยทำให้การเขียนอะไรต่อมิอะไรไม่สะดวก (นี่คือข้อได้เปรียบอีกประการของ Samsung Galaxy Note II)
และนอกจากนี้ Samsung Galaxy Note II ก็มีฟีเจอร์อื่นๆ และ App อื่นๆ อีกมากมาย ที่ช่วยให้เราใช้ประโยชน์จาก S Pen ได้ เช่น S Note และ S Planner และยังเปิด API ให้นักพัฒนาทำ App เพื่อรองรับการใช้ประโยชน์จาก S Pen ได้อีก

ดวลกันระหว่างกล้องถ่ายรูป และวิดีโอ

กล้องก็เป็นอีกจุดนึงที่น่าจะมาดวลกันให้เห็นจะจะไปว่าระหว่าง iPhone 5 กับ Samsung Galaxy Note II ว่าเป็นยังไง … แต่โดยส่วนตัว ดูจากสเปกอะไรหลายๆ อย่างแล้ว Samsung Galaxy Note II สเปกใกล้เคียงกับ Samsung Galaxy SIII มาก ดังนั้น ผมเลยคาดว่า ผลที่ได้จะใกล้ๆ กัน

เรื่องลูกเล่นของกล้อง ก็อย่างที่บอก Samsung Galaxy Note II ปรับแต่งได้เยอะกว่า
ลูกเล่นของกล้อง ของ iPhone 5 ก็เรียบง่าย เหมาะกับการเป็น Point & Shoot จริงๆ ครับ แต่มันมีความสามารถจำกัด แค่เท่าที่ Apple คิดว่ามันจำเป็นสำหรับใช้กับกล้องดิจิตอลบนสมาร์ทโฟน อันได้แก่ Grid ที่ใช้สำหรับแบ่งสัดส่วนของภาพ, HDR (High Dynamic Range) และ Panorama พร้อมกับฟีเจอร์มาตรฐาน iOS อย่าง Tap-to-Focus ที่ปรับได้ทั้ง Focus และ Exposure ครับ

User Interface กล้องของ iPhone 5

Samsung Galaxy Note II ก็เหมือนอย่างเคยครับ โอกาสในการปรับแต่งเพียบ และก็ไม่ได้ใช้ยากในแง่ของการเป็นกล้องแบบ Point & Shoot ครับ … ในแง่ของการปรับแต่งเนี่ย Samsung Galaxy Note II ก็เลยชนะ iPhone 5 ไป

User Interface กล้องของ Samsung Galaxy Note II

แต่ iPhone 5 ชนะเรื่อง Tap-to-Focus
แต่ที่ผมยังกังขาคือ ในขณะที่แบรนด์อื่นๆ ที่ผลิต Android Smartphone เขาพยายามใส่คุณสมบัติ Tap-to-Focus ให้รองรับทั้งการปรับ Focus และ Exposure แล้ว (แม้ว่าจะยังไม่ดีเท่า iOS) Samsung กลับยังทำให้ปรับได้แค่ Focus เท่านั้น ทั้งๆ ที่มีเป็นฟีเจอร์นึงที่ดีมาก ทั้งสำหรับมือใหม่หัดถ่าย และ พวกที่ชอบถ่ายรูปจริงจัง … ณ จุดนี้ Samsung Galaxy Note II สู้ iPhone 5 ไม่ได้จริงๆ

การถ่าย Panorama นั้น iPhone 5 ชนะขาด
Samsung Galaxy Note II ถ่ายภาพแบบ Panorama ได้แค่ระดับ 8 ล้านพิกเซลเท่านั้นครับ เพราะเป็นการถ่ายรูปขนาด 1600 x 1200 พิกเซล 8 รูปมาเชื่อมต่อกัน (พิกเซลหดหายไปบางส่วน เพราะเป็นจุดที่ภาพเกยกันเพื่อใช้เชื่อมต่อภาพ)
iPhone 5 ชนะเพราะตอนถ่ายภาพแบบ Panorama ได้ความละเอียดแบบเต็มที่มากๆ ถ่ายได้ความละเอียดระดับ 25 ล้านพิกเซลเลยด้วยซ้ำ ขนาดไฟล์นี่ระดับ 16MB เลยทีเดียวนะครับ เวลาไปอัดภาพนี่ ได้ขนาดใหญ่ทีเดียว … ฟีเจอร์นี้เหมาะมาก เวลาที่ไปเที่ยวชมวิวทิวทัศน์สวยๆ งามๆ แล้วอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก

การถ่ายภาพในแบบปกติ ด้วยกล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล
ลองดูภาพ 8 ล้านพิกเซลที่ได้จาก iPhone 5 ก่อนเลยครับ … ความสว่างของภาพถือว่าใช้ได้ทีเดียว สีสันก็ถือว่าสมจริง ชัดเจนมากครับ … แนะนำให้ลองดาวน์โหลดรูปด้านล่างแต่ละรูปไป แล้วลองซูมซัก 200% ขึ้นไป จะเห็นได้ชัดครับ


เทียบกับ Samsung Galaxy Note II ดูบ้าง จะเห็นว่าเก็บสีสันจืดไปหน่อยครับ ภาพออกมาดูฟุ้งๆ ไปนิด … ลองซูมเข้าซัก 200% จะเห็นได้ค่อนข้างชัดเลยทีเดียว … ไม่ใช่กล้องไม่ดีนะ แต่ปัญหามันคือ ขาดความสามารถเรื่อง Tap-to-Focus ไปอ่ะ พอเจอสภาพที่แหล่งกำเนิดแสงมันมาจากด้านข้างแบบที่ผมทดสอบถ่าย ผลคืออย่างที่เห็นในภาพแรกนั่นแหละ


ในแง่ของกล้องแล้ว ที่ 8 ล้านพิกเซล ทั้ง iPhone 5 และ Samsung Galaxy Note II ต่างก็ให้คุณภาพของภาพถ่ายที่ดีทั้งคู่ แต่ iPhone 5 นี่ชนะกันที่ Software ค่อนข้างชัดเจนมากมายครับ

การถ่ายภาพในโหมด HDR ทำได้ดีทั้งคู่ แต่ iPhone 5 ชนะเพราะ Tap-to-Focus ที่ปรับ Exposure ได้
HDR เคยเป็นฟีเจอร์เด่นของ iPhone มาตั้งแต่สมัย iPhone 4 แต่ตอนนี้ Android Smartphone ก็ทำกันได้แล้ว และแน่นอน Samsung Galaxy Note II ก็ทำได้เช่นกัน และทำได้ดีทีเดียว
เรามาดูที่ Samsung Galaxy Note II กันก่อน จะเห็นว่าตอนถ่ายรูปแบบไม่เปิดโหมด HDR เนี่ย เห็นรายละเอียดท้องฟ้าครับ แต่ว่าต้นไม้ (สีเขียวๆ นั่นแหละ) จะดูมืดๆ แล้วหลังคาโรงรถบ้านผมก็ดูมืดๆ ไป แต่พอเปิดโหมด HDR แล้ว จะเห็นว่าต้นมีมีสีเขียวสดขึ้น และหลังคารถนี่ก็สว่างขึ้น เห็นรายละเอียดต่างๆ มากขึ้น … ถือว่าโหมด HDR ทำได้ดีทีเดียว

เปรียบเทียบโหมด HDR ของ Samsung Galaxy Note II

แต่ iPhone 5 นี่สิครับ … HDR นี่ทำได้ดีทีเดียวเช่นกัน แต่ว่าด้วยความที่มีคุณสมบัติ Tap-to-Focus ที่ปรับ Exposure ได้ เลยทำให้ลูกเล่นในการถ่ายภาพแบบ HDR เนี่ย ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยอยู่ที่ว่าตอนเลือกถ่ายแบบปกตินั้น เน้นไปที่การถ่ายภาพให้มืดก่อน หรือพยายามปรับ Exposure ให้สว่างก่อน (Samsung ก็ทำแบบนี้ได้ แต่ไม่สะดวก เพราะต้องไปปรับ Exposure ในส่วนของ Settings เอาเอง) สังเกตรูปด้านล่างให้ดี จะเห็นว่าในโหมด HDR ของ iPhone 5 ทั้ง 2 รูป จะแตกต่างกันเล็กน้อยในแง่ของความสว่างโดยรวมของภาพครับ

เปรียบเทียบโหมด HDR ของ iPhone 5

กล้องด้านหน้าของเนี่ย ต้องยกให้ Samsung Galaxy Note II ชนะ
เช่นเดียวกับ Samsung Galaxy SIII ครับ กล้องหน้าความละเอียด 1.9 ล้านพิกเซลของ Samsung Galaxy Note II ก็ให้ภาพที่คุณภาพดีกว่า iPhone 5 ค่อนข้างชัดเจนครับ สาวๆ หรือหนุ่มๆ ที่ชอบถ่ายรูปตัวเองด้วยกล้องหน้า คงชอบ Samsung Galaxy Note II มากกว่า
ลองดูเปรียบเทียบภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ iPhone 5 ดูนะครับ … จะเห็นว่าคุณภาพของภาพดีขึ้นกว่าสมัยก่อนที่เป็นกล้อง 3 แสนพิกเซลเยอะ แต่ว่าก็ยังมี Noise แบบเห็นได้ชัดๆ อยู่พอสมควรทีเดียว

ภาพจากกล้องหน้าของ iPhone 5

ส่วนกล้องหน้าของ Samsung Galaxy Note II เนี่ย ความละเอียดสูงสุด 1.9 ล้านพิกเซลนี่เป็นแบบ 1392 x 1392 พิกเซล สี่เหลี่ยมจตุรัสเลยครับ เหมาะสำหรับใช้โพสต์บน Instagram เลยสินะ เห็นได้ชัดว่า Noise น้อยกว่าของ iPhone 5 อยู่เยอะทีเดียว

ภาพถ่ายจากกล้องหน้าของ Samsung Galaxy Note II

แต่อย่างหนึ่งที่ iPhone 5 ทำได้ดีกว่าคือ ในโหมดการถ่ายภาพด้วยกล้องหน้าเนี่ย iPhone 5 ยังสามารถทำ Tap-to-Focus ปรับทั้ง Focus และ Exposure ได้สบายๆ … แต่ Samsung Galaxy Note II นี่ แม้ในโหมดถ่ายภาพนิ่งจะสามารถทำ Tap-to-Focus ได้ แต่พอมาเป็นโหมดถ่ายภาพด้วยกล้องหน้า … จบกัน Tap-to-Focus หายไป (ฮือๆ)

แบตเตอรี่ Samsung Galaxy Note II ชนะ (ก็แหงล่ะ 3100mAh นี่นา)

มาดูเรื่องระยะเวลาในการใช้งานบ้าง … ตรงนี้จากประสบการณ์ในการใช้งานโดยตรงนะครับ บอกได้เลยว่า Samsung Galaxy Note II อึดกว่าอยู่พอสมควรครับ การใช้งานเน็ตต่อเนื่อง อยู่ได้ราวๆ 6-8 ชั่วโมง (แล้วแต่ว่าเล่นเน็ตโหดแค่ไหน) ในขณะที่ iPhone 5 นั้นจะอยู่ได้ราวๆ 5-6 ชั่วโมง ถ้าใช้งานเน็ตแบบต่อเนื่องครับ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะ Samsung Galaxy Note จัดแบตมาให้เต็มๆ ตั้ง 3,100mAh ในขณะที่ iPhone 5 ให้แบตมาให้ 1,434mAh เท่านั้นนี่นา
มันมองได้ 2 แบบครับ กรณีนี้ แบบแรก คงต้องบอกว่า Apple ออกแบบสมาร์ทโฟนมาให้ใช้พลังงานได้ต่ำมากๆ จนสามารถทำงานได้ 5-6 ชั่วโมงต่อเนื่อง (และถ้าใช้แบบไม่ต่อเนื่อง การจะอยู่ให้ครบวันก็พอมีหวัง) ภายใต้แบตเตอรี่แค่ 1,434mAh ได้ ในขณะที่ Samsung ต้องเลือกที่จะใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้นมาก เพื่อให้สามารถทำงานได้นานๆ (เพราะ CPU/GPU ก็แรง จอก็ใหญ่)
มองอีกแบบ ถ้าคิดในแง่ผู้ใช้งาน อะไรอยู่ได้นานก็ดีกว่า คิดง่ายๆ แบบนี้ ถ้าใครต้องการสมาร์ทโฟนที่แบตอึดชัวร์ๆ ก็อาจจะต้องลองพิจารณา Samsung Galaxy Note II นะครับ

บทสรุปของการเลือก

คงต้องลอกการบ้านตอนรีวิวเปรียบเทียบ iPhone 5 กับ Samsung Galaxy SIII มาเลยทีเดียว เพราะว่าผลมันออกมาแบบเดียวกันนั่นแหละครับ … ว่าแล้วก็ขอลอกการบ้านมาเลย (อันนี้สารภาพบาปเลย ว่าก็อปปี้บล็อกเก่ามาเห็นๆ) โดยถ้าคุณจะ …
  • ซื้อไปเล่นเกม … จงไป iPhone 5 … จบ
  • ซื้อไปท่องเว็บ ใช้งาน Social Media … เลือกอะไรก็ได้ แต่ iPhone 5 พิมพ์ไทยยาก ส่วน Samsung Galaxy Note II พิมพ์ไทยง่าย … จบ
  • ซื้อไปถ่ายรูปและวิดีโอแบบชิลๆ … เลือกอะไรก็ได้ ไม่ใช่ปัญหา … จบ
  • ซื้อไปถ่ายรูปและวิดีโอแบบจริงจัง … จงไป iPhone 5 … จบ
  • ซื้อไปดูหนังฟังเพลง …
    • ถ้าชอบเสียงหนักแน่น เลือก iPhone 5 ถ้าชอบเสียงใส เลือก Samsung Galaxy Note II
    • ถ้าชอบจอใหญ่ จงเลือก Samsung Galaxy Note II
    • ถ้าชอบสีสันจัดจ้าน ดูหนังแล้วได้ประสบการณ์ที่ดี จงเลือก Samsung Galaxy Note II แต่ถ้าชอบแบบสีธรรมดา ไม่แสบตาเกิน เลือก iPhone 5
  • ซื้อไปเป็นโทรศัพท์มือถือ … ซื้อ Nokia 3310 เหอะ … จบแมะ
แต่ที่ผมคงต้องเสริมอีกเรื่อง คือ หากมีใครถามผมว่า แล้วถ้าเกิดให้เลือกระหว่าง Samsung Galaxy SIII และ Samsung Galaxy Note II ล่ะ?!? (สมมติว่าตกลงปลงใจ ไม่ซื้อ iPhone 5) จะเลือกตัวไหนดี?!? ผมคงบอกว่า Samsung Galaxy Note II คุ้มกว่าครับ (ราคาแพงกว่านิดเดียว แต่ว่าจอใหญ่กว่า ฮาร์ดแวร์แรงกว่า มี S Pen อีกต่างหาก)

ข้อมูลจาก http://www.kafaak.com/